เบื้องหลังเอ็มวี ‘เกี่ยวกันไหม’ ที่ทำให้หลายคนเขินจนตัวงอ

เชื่อว่าหลายคนน่าจะได้เห็น อิ้งค์-วรันธร เปานิล ในลุคที่สดใสซาบซ่าจากเอ็มวีเพลง ‘เกี่ยวกันไหม’ ไปบ้างแล้ว และอาจจะเกิดสงสัยว่าใครกันหนอที่ทำให้สาวขี้เหงาอย่างอิ้งค์กลายเป็นสาวสวยสะพรั่งและดูอินเลิฟได้ขนาดนี้

กระบวนการทำงาน การเลือกพระเอกเอ็มวี และเคล็ดลับอะไรที่ทำให้สาวอิ้งค์ออกอาการเขินจนตัวงอ ไปพูดคุยกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่าง 2 ผู้กำกับสาว วรรณแวว และแวววรรณ หงษ์วิวัฒน์ พร้อมกับสาวอิ้งค์กันเลย

อยากช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่า เพราะอะไร แวววรรณ-วรรณแวว ถึงตกลงกำกับเอ็มวี ‘เกี่ยวกันไหม’
วรรณแวว:
ปิง (เกรียงไกร วชิรธรรมพร) โทรมาเกริ่นก่อนว่าทางบ็อกซ์ มิวสิค อยากให้เราไปกำกับเพลงของอิ้งค์ ซึ่งถือเป็นความประจวบเหมาะนะ เพราะช่วงนั้นเป็นเรา 2 คนฮิตฟังเพลงอิ้งค์อยู่พอดี จริงๆ เคยฟังและชอบเพลงของอิ้งค์อยู่แล้ว แต่มีอยู่วันหนึ่งขณะที่ขับรถแล้ววิทยุเปิดเพลงของอิ้งค์ขึ้นมา แล้วมันติดหูเรา เรารู้สึกว่าเพราะจัง ซาวด์ชวนให้นึกถึงเพลงสมัยก่อนตอนเราเป็นเด็ก มีความเรโทรอยู่ ก็เลยตอบกลับปิงไปว่า “เรากำลังชอบเพลงอิ้งค์อยู่พอดีเลย”

ตอนฟังเพลงครั้งแรกรู้สึกอย่างไร
แวววรรณ:
ตอนแรกก็ฟังไปแบบไหลๆ ไปก่อนเพราะไม่อยากสร้างข้อจำกัดในการคิดจะฟังแล้วจดเนื้อเพลงลงในกระดาษด้วยตัวเองเพราะจะได้ทำความเข้าใจกับความหมายจริงๆ จากนั้นเราก็มานั่งเบรนสตอร์มกันแล้วคิดไปถึงภาพของผู้หญิงคนหนึ่งที่นอนไม่หลับ พลิกตัวไปมา กำโทรศัพท์อยู่ในมือ ทีนี้พอมาได้มาคุยกับพี่พล (คชภัค ผลธนโชติ) ก็เลยหยุดไอเดียแรกไปเพราะโจทย์ที่พี่พลอยากได้คือ บรรยากาศสดใสๆ อิ้งค์เดินอยู่กลางเมือง แล้วก็มีความเป็นสาวมากขึ้น

วรรณแวว: คือเพลงนี้ต่างจากที่ผ่านมาของอิ้งค์มากเหมือนกันนะ ก่อนหน้านี้อิ้งค์เขาจะมีความนิ่งๆ คูลๆ ส่วนเพลงนี้นี่คือพูดถึงความรักตรงๆ แล้วก็สดใสแบบเบอร์เต็มเลย ก็คิดว่า มันควรจะเป็นความรักฉันเพื่อน มีความเป็นเพื่อนสนิทก่อนมั้ย ไม่ใช่ความรักแบบเข้ามาจีบเลย

แวววรรณ: ใช่ๆ อารมณ์แบบเป็นเพื่อนกันอยู่ดีๆ แต่ เอ๊ะ!! เพราะเธอหรือเปล่านะ

วรรณแวว: เป็นความรักที่ดำเนินไปท่ามกลางบรรยากาศของการเซสชั่นของวงดนตรี เพราะอยากให้ไลน์ซิงก์กับสตอรี่ดูเนียนๆ เป็นเรื่องเดียวกัน เลยกลายเป็นแก๊งค์เพื่อนที่ไปซ้อมดนตรีด้วยกันที่สาธารณะแล้วก็ให้สตอรี่มันแทรกอยู่ในนั้น

“เพลงนี้นี่คือพูดถึงความรักตรงๆ แล้วก็สดใสแบบเบอร์เต็มเลย
ก็คิดว่า มันควรจะเป็นความรักฉันเพื่อน มีความเป็นเพื่อนสนิทก่อนมั้ย
ไม่ใช่ความรักแบบเข้ามาจีบเลย”

ทำไมถึงเลือกให้ ไอซ์ซึ (ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) เป็นหนุ่มที่ช่วยดึงความน่ารักสดใสของอิ้งค์ออกมา
แวววรรณ:
เกิดจากการเอารูปผู้ชายทั้งวงการไปให้อิ้งค์เลือก (หัวเราะ) คือตอนแรกเราอยากได้ผู้ชายที่ดูแมนๆ หน่อยมาคู่กับอิ้งค์ที่มีความเป็นผู้หญิงๆ จะได้ดูหักล้างกันนิดนึง ซึ่งมีไอซ์ซึเป็นหนึ่งในนั้นเพราะว่า ลุคดูเข้ากับอิ้งค์ ส่วนที่เราเป็นห่วงคือ กลัวว่าจะพากันหวานไปเลย แต่ความน่าเป็นห่วงนี้กลับให้โจทย์ที่ท้าทายคือ การที่ เราจะได้ถือโอกาสปรับลุคไอซ์ซึให้ดูเป็นผู้ชายสายรุกมากขึ้น เพราะบทบาทส่วนใหญ่ในซีรีย์ที่เขาเล่นคือทุกเรื่องจะโดนผู้หญิงรุก ก็เลยตั้งเป้าว่า โอเค งานนี้ไอซ์ซึจะเป็นสายรุกบ้าง

“ชีวิตจริงเราก็ไม่ได้มีโมเมนต์แบบเขินขนาดในเอ็มวี
แต่พี่แววพี่วรรณทำให้เราเขินไอซ์ซึได้”

อิ้งค์: คือตอนที่นั่งดูจากหลายๆ คนที่พี่แววพี่วรรณลิสต์มาให้ บางคนก็รู้สึกว่าดูเด็กไปหน่อย บางคนก็อาจจะวัยใกล้เคียงแต่ดูแบบ อื้อหือ หล่อไปหน่อยมั้ย แต่พอมาเห็นไอซ์ ก็รู้สึกว่า เออ หล่อนะ แล้วก็ดูมีฟีลแบบน่าจะเป็นเพื่อนกับเราได้ด้วย เราไม่ได้รู้จักไอซ์มาก่อน แต่เคยเห็นผ่านตาจากในซีรีย์ เราก็เลยไปถามเพื่อนผู้หญิงว่า แกอยากให้ใครเป็นพระเอกในเอ็มวีเรา เพื่อน 90 เปอร์เซ็นตอบเหมือนกันหมดว่า ไอซ์ซึ เราก็โอเคเลย ส่วนที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ไอซ์ก็ไม่ค่อยได้เล่นเอ็มวี และเพลงนี้ก็น่าจะเป็นเพลงแรกๆ ของเขาด้วย

ทั้ง 2 คนมีความหลังอะไรที่เกิดขึ้นในสวนลุมพินีถึงเลือกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำ
แวววรรณ:
ไม่มี ที่จริงคือยังไม่เคยไปเลยด้วยซ้ำ จริงๆ แล้วสวนลุมฯ เป็นสถานที่ท้ายๆ ที่เราคิดถึงเหมือนกันนะ ก่อนหน้านี้ขับรถตระเวนหาโลเคชั่นอยู่ตั้งนาน บางที่อยากได้แต่ไม่อนุญาตให้ถ่ายทำ ถึงขั้นขับไปเมืองทองธานีก็ทำมาแล้ว สุดท้ายก็มาเลือกสวนลุมฯ จนได้

วรรณแวว: ส่วนที่ชอบและคิดว่าอยากใช้พื้นที่ของสวนลุมฯ เพราะมีความเป็นเมือง ขณะเดียวกันก็มีความสวยแบบธรรมชาติของต้นไม้ แล้วก็มีหลายจุดที่บ่งบอกหลายอารมณ์ซึ่งสามารถเดินถึงกันได้เลย เราก็เลยใช้หลายมุมในการถ่ายทำ เรียกได้ว่า เดินจนขาลากสมใจเลย (หัวเราะ)


มีวิธีการอย่างไรในการดึงความสาวของอิ้งค์ออกมา
วรรณแวว:
ที่จริงอิ้งค์บอกกับเราตั้งแต่แรกเลยว่า เขาจะเป็นคนที่มีสเปซหน่อย ก็เลยต้องมีการทำเวิร์กชอปเพื่อละลายน้ำแข็งกันก่อน

แวววรรณ: มีการหาเรฟเฟอเรนซ์ส่งไปให้อิ้งค์ ขอท่านี้นะ ช้อนตาแบบนี้ แล้วก็มีการซ้อมถ่ายรูป ให้อิ้งค์ทำท่าต่างๆ ให้ดูน่ารักๆ แล้วก็เรียกเข้ามาเวิร์กชอปกับไอซ์ซึ เพราะคิดว่าการให้ 2 คนได้มาเจอกันก่อน พวกเขาจะได้ลองสัมผัสกับความเขินอาย คือเราใช้วิธีกระซิบกับแต่ละคน โดยให้โจทย์ที่ไม่เหมือนกัน คือให้อิ้งค์ร้องเพลงโดยที่มองหน้าไอซ์ซึตลอดเวลา ในขณะที่ไอซ์ซึเล่นกีต้าร์แล้วให้หาจังหวะเงยหน้าขึ้นมาสบตาอิ้งค์

“การให้ 2 คนได้มาเจอกันก่อน พวกเขาจะได้ลองสัมผัสกับความเขินอาย
คือเราใช้วิธีกระซิบกับแต่ละคน โดยให้โจทย์ที่ไม่เหมือนกัน
คือให้อิงค์ร้องเพลงโดยที่มองหน้าไอซ์ซึตลอดเวลา
ในขณะที่ไอซ์ซึเล่นกีต้าร์แล้วให้หาจังหวะเงยหน้าขึ้นมาสบตาอิงค์”

“เป็นครั้งแรกที่เจอกับไอซ์ซึแล้วก็เจอกับโจทย์แบบนี้เลย
โอ้โห เขินมาก แต่ว่าต้องทำ (หัวเราะ)
แต่ไม่ได้ฝืนหรือรู้สึกไม่เป็นธรรมชาตินะ
เพราะขณะที่เราร้องเพลงแล้วเต้นไปก็คือแบบ
เออ เขินจริงๆ”

แค่ฟังก็เขินแล้ว อยากรู้ว่าในวันเวิร์กชอป อิ้งค์รู้สึกอย่างไรบ้าง
อิ้งค์:
คือวันนั้นต้องทำต่อหน้าคนมากมายในห้องประชุมด้วยนะ ถือเป็นครั้งแรกที่เจอกับไอซ์ซึแล้วก็เจอกับโจทย์แบบนี้เลย โอ้โห เขินมาก แต่ว่าต้องทำ (หัวเราะ) แต่ไม่ได้ฝืนหรือรู้สึกไม่เป็นธรรมชาตินะ เพราะขณะที่เราร้องเพลงแล้วเต้นไปก็คือแบบ เออ เขินจริงๆ

“ใจหนึ่งเราก็อยากละลายน้ำแข็งของทั้งคู่
อีกใจหนึ่งเราก็อยากจะเห็นเคมีของพวกเขา
ว่ามันสามารถเข้ามาเติมเต็มภาพในหัวเราได้มั้ย
ซึ่งพอนั่งดูไปสักพัก เรากลับรู้สึกเขินจนม้วนติ้วไปด้วย
แบบนี้แสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว”

วรรณแวว: ใจหนึ่งเราก็อยากละลายน้ำแข็งของทั้งคู่ อีกใจหนึ่งเราก็อยากจะเห็นเคมีของพวกเขาว่ามันสามารถเข้ามาเติมเต็มภาพในหัวเราได้มั้ย ซึ่งพอนั่งดูไปสักพัก เรากลับรู้สึกเขินจนม้วนติ้วไปด้วย แบบนี้แสดงว่าเรามาถูกทางแล้ว

แวววรรณ: ช่วงแรกๆ ก็ทำอยู่หลายรอบเหมือนกัน แต่ส่วนที่คิดว่าช่วยในการละลายน้ำแข็งคือ การให้ผลัดกันถามคำถามเรื่องความรัก เขาก็ถามนู่นนี่กันไป ซึ่งคำถามที่มันมีความ intimate มากๆ นี่แหละที่ช่วยให้ 2 คนคลิกกันเร็วยิ่งขึ้น

แวววรรณ-วรรณแวว แบ่งหน้าที่กันอย่างไรเวลาอยู่กองถ่ายแล้วมีทะเลาะกันบ้างมั้ย
วรรณแวว:
มีความมั่ว ช่วยอะไรก็ช่วยกันมากกว่า

แวววรรณ: ตอนเล่นดนตรี วรรณก็จะไปอยู่ข้างตากล้องเพื่อคอยบอก blocking ส่วนเราจะอยู่หน้ามอนิเตอร์ คอยเช็คแอคติ้ง ว่าทุกอย่างโอเคมั้ย แล้วถ้ามันรีบมาก ไม่มีเวลา เราก็จะบอกเลยว่าอันนี้ผ่าน อันนี้ไม่ผ่าน ซึ่งวรรณก็เชื่อใจ แต่ถ้าเป็นคนอื่นมาฟังเราคุยงานกันก็อาจจะรู้สึกว่าเราทะเลาะกัน จะมีความแบบอยู่ดีๆ ก็ขึ้นเสียงใส่กัน ทั้งที่จริงๆ เราไม่ได้ทะเลาะกัน คือพอมันเห็นไม่ตรงกัน ก็จะคุยกันจนถึงจุดที่เห็นตรงกัน ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าทะเลาะกัน แค่เถียงกันเฉยๆ

วรรณแวว: การทำงานด้วยกันมันก็จะมีข้อดีตรงที่ ถ้าหน้ากองมันวุ่นวายมาก แสงก็จะหมด เราก็จะแบบ กูไม่สนใจแล้ว รีบกำกับ รีบถ่ายให้เสร็จ แววช่วยไปเช็คหน่อยว่าทุกอย่างครบตามในบอร์ดมั้ย ก็จะมีความแยกร่างกันทำงานได้อยู่

นอกจากประสบการณ์ใหม่ๆ แล้ว งานชิ้นนี้ให้อะไรกับเรา
วรรณแวว:
ในการทำเอ็มวี เราค่อยๆ ได้เรียนรู้มาทีละตัว ซึ่งทำให้เห็นจุดที่อยากแแก้ไขเพื่อทำงานชิ้นต่อๆ ไปให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ด้วยความที่เรามาจากการทำหนัง ทำซีรีย์ ซึ่งเป็นงานที่มีสตอรี่เยอะๆ พอเปลี่ยนมาทำเอ็มวีก็จะมีจุดที่รู้สึกว่า ยังจูนตัวเองไม่ค่อยถูก ใส่เรื่องเยอะไปจนเวลาไม่พอ ต้องตัดเนื้อเรื่องบางส่วนออกไปบ้าง ก็จะพยายามเตือนกันเองว่า เอ็มวีตัวนี้อย่าเยอะนะ บางทีก็รู้สึกว่า เราติดกับความเป็นคนเขียนบทหนังที่ต้องการซีนหลากหลาย แต่บางทีเอ็มวีมันต้องการความ high concept ในโลเคชั่นเดียวหรือเปล่า

แวววรรณ: ก็เหมือนกันแหละ แต่จริงๆ ก็ยังแอบรู้สึกว่า ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปก็จะไม่แก้อะไรก็จะเอาแบบนี้ มันเป็นการได้ลองทำอะไรใหม่ๆ มากกว่า อย่างปกติเราทำเอ็มวีแบบคัตสั้นมาก่อน พอมาเพลงนี้ได้ทำแบบลองเทคอย่างที่ฝันไว้ ก็จะมีความยากของการคิดคิว blocking นิดหน่อย ซึ่งก็ต้องแก้ด้วยการทำการบ้านคือบล็อคช็อตหรือวางแผนกันมาดีๆ ก่อน

ฉากที่ในเอ็มวี ‘เกี่ยวกันไหม’ ที่แต่ละคนชอบที่สุด


วรรณแวว: ถ้าเป็นงานทางภาพ เราชอบฉากการเซสซั่นช่วงที่ 2 ตอนที่อยู่บนสะพาน เพราะรู้สึกว่ามันดูญี่ปุ่นๆ ดี แต่ในช่วงที่ดูไปเขินไปคือ ส่วนสุดท้ายที่อยู่บนสะพานด้วยกัน รู้สึกว่า คนดูน่าจะรู้สึกร่วมไปกับตัวละครด้วย


แวววรรณ:
สำหรับเราคือฉากบีบจมูกเนี่ยแหละ เพราะคิดไว้ตั้งแต่ตอนได้ฟังครั้งแรกแล้วว่า ถ้ามีฉากบีบจมูกนี้แล้วคนดูต้องจิกหมอนแน่นอน

อิ้งค์: ชอบฉากที่ตอนแรกเลยที่เป็นแบนด์รวมเหมือนเราได้มาเล่นดนตรีกับเพื่อน สนุกดีเหมือนเวลาเราได้มาเล่นจริงๆ แต่ก็มีความที่เป็นการแสดงผสมอยู่ด้วย เพราะชีวิตจริงเราก็ไม่ได้มีโมเมนต์แบบเขินขนาดในเอ็มวี แต่พี่แววพี่วรรณทำให้เราเขินไอซ์ซึได้ ก็รู้สึกว่าเป็นมุมที่ดี เพราะปกติเราจะเป็นคนเก๊กๆ หน่อยด้วยมั้ง (หัวเราะ)

***

Scroll to Top