เพลงของคนที่อยาก Move on ด้วยวิธีการลบ แต่ก็มาพบว่าสุดท้าย “การลบก็ไม่ได้ช่วยให้ลืม”

“การลืมมันยากไป หรือเป็นเพราะเราเองที่ยังไม่อยากลืม…”
เพลงของคนที่อยากจะ Move on ด้วยวิธีการลบ แต่ก็มาพบว่าสุดท้าย
“ลบก็ไม่ได้ช่วยให้ลืม”

เชื่อว่าหลายคน คงมีเรื่องที่อยากจะจำและมีเรื่องที่อยากจะลืม และเมื่อพูดถึงความสัมพันธ์ของคนสองคน เคยสงสัยกันไหม? ทำไมการลบใครบางคนออกจากความทรงจำ มันถึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถทำได้เลย หรือแท้จริงแล้ว ‘การลืม’ มันอาจไม่ได้ยาก แต่เป็นตัวเราเองที่ยังไม่พร้อมจะลืม

“ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม” เพลงของคนที่ยังลบคนๆ นั้นออกจากใจไม่ได้สักที เป็นเพลงที่จะพาเราไปสำรวจความทรงจำต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้น รวมถึงวิธีการที่คนๆ หนึ่งพยายามที่จะลบทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อแลกกับการลืมใครสักคน แต่สุดท้ายการลบมันก็ไม่ใช่คำตอบ เพราะการที่ใจเรามันยังรัก สุดท้าย ลบไปก็ไม่ได้ช่วยให้ลืม

ทำไมถึงต้องเป็น ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม 

อิ้งค์ : คือตอนแรกเพลงนี้มันชื่อเพลงว่า “ลบ” แต่หลังจากที่เราทำเพลงกันเสร็จ เราก็มาเปลี่ยนกันใหม่เป็น “ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม” เพราะเราต้องการให้เพลงนี้มันมีภาพจำที่มากขึ้น คือเราคิดกันเยอะมากๆ กับการทำเพลงนี้ รวมไปถึง MV ด้วย

แล้ว Story ของเพลงนี้ได้มาจากไหน

พี่แทน : ผมจำได้ว่าวันแรกที่เรามานั่งทำเพลงกัน วันนั้นอิ้งค์ก็มาด้วยคอนเทนต์ที่ดีมากหลายอย่างเลย แต่เรานั่งคิดกันไปประมาณ 5 ชั่วโมง แล้วเราก็ไม่ได้อะไรเลย (หัวเราะ)

อิ้งค์ : เราได้แต่เม้าท์กันอย่างเดียว (หัวเราะ)

พี่แทน : คือเราก็เม้าท์กัน แล้วก็เขียนไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายเราก็ยังไม่ได้อะไรมาแต่งเพลงอยู่ดี จนมาวันนึง ผมนั่งทำเพลงกับ ‘ข้าว’ (เฟลโล่เฟลโล่) เราคิดท่อนฮุคขึ้นมาได้ก่อน คือท่อน “มันไม่มีทางลืมใครสักคน ถ้าหากว่าเรานั้นยังรัก” ซึ่งมันเป็นประโยคง่ายๆ แต่มันมีความลึกซึ้งอะไรบางอย่างที่ผมชอบ จนมาอีกท่อนที่เราคิดต่อจากประโยคนั้น คือ “อยากจะรู้วิธีลืมใครสักคน ต้องทำอย่างไร” เราก็เลยคิดต่อจากตรงนั้น ซึ่งถ้าผมอยากลืมคนสักคน ผมก็คงจะเก็บของของเขา โยนมันไป ลบรูป ลบทุกอย่าง แต่สุดท้ายสิ่งที่เราทำ มันก็ไม่ได้ช่วยให้เราลืมเขาได้หรอก แล้วก็เรียบเรียงจากตรงนี้มาเป็นเนื้อเพลง

คิดยังไงกับการลบ เพื่อให้เราลืมคนคนหนึ่ง ?

พี่แทน : ในเมื่อเราลบทุกๆ อย่างที่มีไปหมดแล้ว ถ้ามันยังไม่เวิร์ค มันก็คงแปลว่าเขายังอยู่ในหัวใจเรา ต่อให้เราจะลบทั้งจักรวาล ลบดวงดาวทั้งหมดบนฟ้าได้ สุดท้ายมันก็มาจบลงตรงที่เราลืมเขาไม่ได้อยู่ดี

แอบได้ยินมาว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่มีความยาก

พี่แทน : ครับ (หัวเราะ) ผมจำได้ว่า ตอนที่เพลงเสร็จ ข้าวมาคุยกับผมว่า “เพลงนี้แม่งเหนื่อย มันร้องเหนื่อยมากพี่” แต่ผมก็คิดว่าสำหรับวรันธร น่าจะสบาย ผมก็เลยส่งไปให้อิ้งค์เลย แล้วบอกว่า “เพลงเสร็จแล้วนะ แต่เพลงนี้มันร้องยากนะ ร้องยากกว่าเพลงดีใจด้วยนะอีก” ซึ่งน้องชอบบ่นว่าเพลง ดีใจด้วยนะ ร้องยาก แล้วเพลงนี้คือมันยากกว่าไปอีกสเต็ปเลย

แค่เริ่ม ก็เจอคำว่ายาก แล้วใช้เวลาทำเพลงกันนานไหม

พี่แทน : เพลงนี้เราก็ได้ใช้เวลาอัดและร้องเพลงนี้ไปประมาณ 4 วัน วันแรกก็คือร้อง Demo วันที่สองก็เป็นวันที่ร้องจริง แต่มันก็ยังออกมาไม่พอใจ เราก็มาอัดอีกรอบในวันที่สาม แล้ววันที่สี่ก็กลับมานั่งแก้ตรงท่อนที่เป็นคำพูดในเพลงครับ

แล้วอิ้งค์ คิดว่าเพลงนี้ยากไหม

อิ้งค์ : จำได้ว่าตอนแรกที่ได้ฟังเพลงนี้ อิ้งค์รีบอัดร้องเป็น Voice note ส่งไปให้พี่แทนเลย คือตื่นเต้นมาก อยากรู้ว่ามันจะยากขนาดไหน แล้วตอนแรกที่ร้อง ก็ดูไม่เห็นจะยากเลย แต่พอวันที่มาอัดเพลงกันจริงๆ ก็คือหน้ามืดเลย มันยากกว่า ‘ดีใจด้วยนะ’ จริงๆ ด้วย (หัวเราะ)

คิดว่าความยากมันอยู่ที่ตรงไหน

อิ้งค์ ​: อันที่ยากที่สุดสำหรับอิ้งค์จริงๆ มันไม่ใช่การร้อง (หัวเราะ) เพราะการร้องมันยังฝึกกันได้ แต่มันยากตรงประโยคคำพูดในเพลงนี้ ที่พูดว่า “ความสัมพันธ์ที่มันจบไปแล้ว ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย สุดท้ายเราก็ลืมมันไม่ได้อยู่ดี” อันนี้เป็นประโยคที่เราคิดขึ้นมาเอง แล้วตอนที่อัดส่งให้พี่แทน พี่แทนส่งกลับมาบอกว่า “อิ้งค์พูดเหมือนอาจารย์สอนภาษาไทยเลย” (หัวเราะ)

พี่แทน : (หัวเราะ) คือน้องพูดเหมือนอาจารย์สอนภาษาไทยจริงๆ มันมีความชัดถ้อยชัดคำมากๆ แล้วฟีลลิ่งมันยังไม่ออก พอเอามามิกซ์ในเพลงมันก็ยังไม่ได้ จนเราต้องมาอัดท่อนที่อิ้งค์พูดกันใหม่ที่บ้านผมอีกรอบครับ

ตอนแรกที่ได้เห็นเนื้อเพลง รู้สึกยังไง ?

อิ้งค์ :  ส่วนตัวเลย เราเป็นคนชอบเพลงที่มีคำว่า “ดวงดาว” อยู่ในเนื้อเพลง คือชอบเนื้อเพลงที่พูดถึงดวงดาว ซึ่งตั้งแต่ทำงานกับพี่แทนมา เพลงนี้ก็เป็นเพลงแรกเลยที่มีคำว่าดวงดาว แล้วครั้งแรกที่ได้ฟัง คือ รู้สึกว่ามันเพราะมาก ขนาดเป็นเพลงที่มีแค่เปียโนกับเสียงร้องยังเพราะเลยอะ ก็เลยตื่นเต้นและอยากร้องมากๆ

ท่อนไหนในเพลงที่ชอบมากที่สุด

อิ้งค์ : ‘ลบดวงดาวทุกดวงหมดฟ้า’ คือ รู้สึกว่ามันยิ่งกว่าการที่เราลบของที่อยู่บนโลกใบนี้อีก คือคนที่คิดจะลบดวงดาว เขาคงลบทุกอย่างไปหมดแล้ว จนไม่รู้จะลบอะไรอีก พอมองดวงดาวที่เคยมองด้วยกัน ก็อยากจะลบอีก มันคือที่สุดของคนที่อยากจะ Move on แต่มัน move ไปไหนไม่ได้จริงๆ เหมือนพยายามเต็มที่แล้ว แต่สุดท้ายมันก็ไม่ลืม

พี่แทน : สำหรับผม คิดว่าท่อนที่มันเป็นบทสรุปของเพลงนี้มันคือท่อน “แต่ถ้าสุดท้ายยังรักอยู่ การลบไม่ได้ช่วยให้ลืม” ผมรู้สึกว่ามันจะกลับมาเป็นสัจธรรมบางอย่าง ที่ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม จะลบดวงดาว ลบทุกอย่างที่เรานึกออกบนโลกใบนี้ แต่ถ้ายังรักอยู่ สุดท้ายการลบก็ไม่ได้ช่วยให้ลืมได้อยู่ดี

แล้วสำหรับชุด Concept เพลงนี้ได้มาอย่างไร?

อิ้งค์ : ได้พี่พราว (โอลีฟ) เข้ามาช่วยเป็นสไตลิสต์ให้ ก็คือแฟนพี่แทนนี่เอง คือพวกเราทำงานกันเป็นครอบครัวจริงๆ (หัวเราะ)

พี่แทน : (หัวเราะ) จริงๆ ในส่วนนี้ผมก็ไม่ได้เข้าไปยุ่งเลย เราแค่เป็นคนเสนอให้พราวมาลองเป็นสไตลิสต์ จากนั้นผมก็ปล่อยให้อิ้งค์กับพราวคุยกันเอง

อิ้งค์ : คือเหมือนเราได้นางฟ้าเข้ามาช่วย เพราะในช่วงโควิดงบทำเพลงมันก็มีจำกัด(หัวเราะ) อะไรหลายๆ อย่างมันก็ต้องช่วยกันประหยัด แล้วส่วนตัวเราเองก็รู้จักกับพี่พราวมานาน ครั้งนี้ก็เลยได้มาร่วมงานกัน ก็รู้สึกดีใจมากเลย

ชุดที่ใส่ในปกเพลง เลือกเองเลยหรือเปล่า

อิ้งค์ : พี่พราวเป็นคนไปติดต่อให้ เขาเป็นคนเลือก ซึ่งชุดที่เลือก เป็นแบรนด์ไทยที่ชื่อว่า “Vickteerut” ที่มาช่วยออกแบบชุดให้อิ้งค์ได้ใส่ในเพลงนี้

แล้วทำไมเพลงนี้ถึงต้องเป็นสีฟ้า ?

อิ้งค์ : คือทุกครั้งเวลาทำงาน ปกติอิ้งค์จะต้องฟังเพลงก่อนแล้วก็ค่อยๆ คิดว่าแต่ละเพลงจะเป็นสีอะไร ซึ่งเพลงนี้ อิ้งค์ก็รู้สึกว่ามันเป็นสีฟ้า เหมือนกับเวลาฝนจะตก แต่มันไม่ใช่สีเทานะ มันจะเป็นสีที่ออกฟ้าหม่นๆ

คิดอย่างไรกับการทำงานยุคโควิด มีอุปสรรคอะไรบ้าง

อิ้งค์ : ในพาร์ทของเพลงที่เราทำกับพี่แทนไม่ค่อยจะมีปัญหา แต่อาจจะมีเรื่องการเว้นระยะห่าง เวลานั่ง เราต้องนั่งห่างกัน (หัวเราะ) เวลาที่กินข้าวอะไรแบบนี้ ต้องมีช้อนกลาง เพราะเราเป็นคนแพนิค แล้วเราก็ชอบใส่แมสบ่อยด้วย

พี่แทน : ช่วงที่น้องแพนิค เวลาที่น้องจะร้อง หรือจะใช้ไมค์ น้องก็จะชอบฉีดสเปรย์แอลกอฮอล์ใส่ไมค์ แล้วฉีดบ่อยมากๆ (หัวเราะ)

อิ้งค์ : เวลาที่จะใช้ไมค์ร้อง เราก็จะถามพี่แทนว่า มีใครใช้ไมค์ก่อนหน้าเรารึเปล่า เพราะเรากลัว (หัวเราะ) แต่ว่าตอนนี้ก็เริ่มชิวมากขึ้นแล้ว ส่วนเรื่องการทำเพลงก็ใช้การส่งทางอีเมลล์มากขึ้น แล้วก็ถ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาเจอหน้ากัน ก็จะหันไปใช้โซเชียลมีเดียให้เป็นประโยชน์มากขึ้น

ถามคุณโปรดิวเซอร์บ้าง คิดว่ามีปัญหาอะไรไหม

พี่แทน : จริงๆ มันก็อาจจะยากขึ้นนิดนึง คือถ้าเราต้องทำงานกับนักร้องที่เราไม่สนิทมาก มันก็ต้องระวังบ้าง ต้องดูว่าเขาไปไหนมาบ้าง (หัวเราะ) แต่ผมก็เคยลองแต่งเพลงผ่านโปรแกรม ZOOM นะ ก็พอได้อยู่ เดี๋ยวนี้มันก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้เราได้มากขึ้นด้วย

แล้วในยุคแบบนี้ New Normal ของเราคืออะไร

อิ้งค์ : รู้สึกว่าเราต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้น เวลาที่ทำงานก็ต้องรู้จักเซฟตัวเองและเซฟคนอื่นด้วย แล้วการร้องเพลงก็อาจจะไม่เหมือนเดิม คงต้องเป็นแบบออนไลน์แทน มันก็ดีอยู่นะที่เรายังได้คุยกับแฟนคลับเหมือนเดิม ยังสื่อสารกับเขาได้เรื่อยๆ แต่ถ้าเกิดว่าสถานการณ์มันดีขึ้นแล้ว เราก็อยากเจอทุกๆ คนเหมือนเดิม

พี่แทน : ผมว่าทุกคนต้องทำงานหนักมากขึ้น เช่น New Normal ของวงผมเอง (ลิปตา) เราก็ได้ทำ MV เพลงตัวนึง ที่ใช้ทุน 0 บาทในช่วงโควิด คือปกติเราไม่เคยมี MV ไหนที่ทำแบบ 0 บาทมาก่อนเลย ฉะนั้น New Normal ของพวกเรา ก็คือการที่ทุกคนต้องปรับตัว ทั้งปรับตัวในชีวิตประจำกัน และปรับตัวในเชิงธุรกิจเยอะขึ้น เพราะฉะนั้นก่อนที่จะปล่อยเพลงออกมา มันก็ต้องผ่านการคิดเยอะมาก และการจะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์มันก็ต้องใช้ให้คุ้มค่า

หลังจากที่เพลงถูกปล่อยไปแล้ว รู้สึกอย่างไรกันบ้าง

อิ้งค์ : เครียดมากเลย (หัวเราะ) เหมือนเราย้ำคิดย้ำทำอยู่ตลอดเวลาเลยว่า สิ่งที่ทำมามันจะออกมาดีรึเปล่า คือเราก็คาดหวังกับมันมากๆ แล้วเพลงก็ปล่อยในช่วงโควิดด้วย เพลงนี้มันเลยเป็นเหมือน ‘หมัดที่เราต้องต่อย’ ไม่ใช่ ‘หมัดที่ปล่อย ฟิ้วว แล้วก็หายไป’ (หัวเราะ) คือมันเหมือนมีแต่สิ่งดีๆ มารวมกัน ก็เลยรู้สึกว่าเราต้องห้ามพลาด

พี่แทน : ผมคิดว่าเพลงนี้มันเป็นเพลงที่รวมความ Avenger ในแง่ของการทำดนตรีมากๆ มันเป็นการรวมพลังกันจริงๆ แล้วช่วงที่ทำเพลง อิ้งค์ก็มีเวลาดูแลตัวเองได้เต็มที่ ไม่ได้ใช้เสียงหนักเหมือนช่วงทำเพลงที่ผ่านๆ มา มันก็เลยทำให้คุณภาพเสียงของอิ้งค์ออกมาดีมากๆ ซึ่งรวมๆ แล้วมันก็ออกมาดีมาก! แล้วก็เป็นเพลงที่ครบ 1 ล้านวิวเร็วมากสำหรับเพลงของน้องอิ้งค์

Avenger ที่ว่านี่มันคืออะไร

พี่แทน : คือเราได้น้องข้าว (เฟลโล่เฟลโล่) มาร่วมเขียนเนื้อเพลงด้วยกัน มีน้องเจน (เจนพัฒน์)  ที่เคยทำเพลงดีใจด้วยนะมาช่วยด้วย แล้วส่วนของนักดนตรีก็มีพี่จิ๊บ (วิชชุเดช) คือเป็นปรมาจารย์มือเบสเบอร์ 1 ของประเทศเลยครับ ได้พี่หนึ่ง (วินัย) มาช่วยอัดเพลงให้เหมือนเดิมและยังได้อัตต้า มาทำ MV ให้ด้วย ผมว่ามันเป็นการรวมพลังกันจริงๆ

เล่าความรู้สึกหลังจากที่ปล่อยออกไปหน่อย เป็นอย่างไรกันบ้าง

อิ้งค์ : มันก็มีทั้งคนที่ชอบเพลง และคนที่ชอบ MV คือพอมันมีคนพูดถึงเพลงเราเยอะ มันก็เลยเป็นความรู้สึกที่แบบ “รอดแล้ว” (หัวเราะ) มันเลยทำให้โล่งใจไปอีก 1 เปราะ

ปล่อยเพลง 2 วัน ได้ล้านวิว ถือเป็นความสำเร็จมั้ย

อิ้งค์ : คือมันอาจจะเป็นแค่ความสำเร็จในขั้นแรก ที่เพลงมียอดวิว 1 ล้านวิวในแค่เวลา 2 วัน แต่ต่อจากนี้ เราจะทำยังไงต่อไปให้เพลงเราไปต่อได้อีก ในยุคที่เศรษฐกิจเป็นแบบนี้ ยังไม่อยากดีใจกับมันมาก เพราะยังอยากทำให้มันดีที่สุดต่อๆ ไปอีกเรื่อยๆ

แอบรู้มาว่า ถ้าเพลงนี้ครบล้านวิว พี่แทนจะบอกความลับอะไรบางอย่างกับอิ้งค์ด้วย

อิ้งค์ : ตอนแรกคืออิ้งค์คิดไปไกลมาก คิดไปจนถึงขั้นที่ว่า พี่แทนจะทำเพลงนี้ให้อิ้งค์เป็นเพลงสุดท้าย (หัวเราะ) พอเพลงครบล้านวิว อิ้งค์ก็เลยรีบโทรหาพี่แทนทันทีเลย ว่าจะบอกอะไร?!

พี่แทน : ความลับมันก็คือเพลงนี้มันจะออกมาดี เพราะเวลาที่ผมทำเพลง ผมจะมีเช็คลิสต์ในใจว่าแต่ละเพลงมีจุดไหนที่ผ่านสำหรับผมบ้าง ซึ่งเพลงนี้มันถูกเช็คลิสต์ผ่านทุกจุดเลย ผมก็เลยคิดว่ามันต้องออกมาดีแน่ๆ เลย

พี่อิ้งค์ : ตอนแรกที่คิดไปไกล ก็คือจริงๆ มันก็ไม่มีอะไรเลยนี่หน่า (หัวเราะ)

แล้วมีความกดดันอะไรกับเพลงนี้บ้าง ?

พี่แทน : ต้องบอกก่อนเลยครับ โจทย์ที่ผมได้ตอนแรกคือ “ต้องทำเพลงของอิ้งค์ให้ปังภายในปีนี้” โอ้โห! มันเหมือนกับมีคนมาสั่งอาหาร แล้วเราต้องทำจานนี้ออกมาให้อร่อยเท่านั้น (หัวเราะ) แต่ว่าส่วนตัวผมก็ชอบนะ รู้สึกมันท้าทายอะไรบางอย่าง แบบถ้ามีคนสั่งให้ผมทำเพลงสไตล์แนวๆ อันนั้นแหละยาก แต่ถ้าบอกให้ผมทำเพลงที่คนฟัง ฟังแล้วชอบ อันนี้ผมว่ามันท้าทายความสามารถดี

แล้วอิ้งค์ล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง

อิ้งค์ : (หัวเราะ) พี่แทนชอบบอกอิ้งค์เสมอเลยว่า “อิ้งค์อย่าคิดมากครับ”
พี่แทน : อย่างที่ว่าแหละ น้องเป็นสายเครียด สายคิดมากอยู่แล้ว ด้วยสถานการณ์ที่มีโควิด และน้องก็ไม่ได้ปล่อยเพลงมาสักพักแล้ว มันเลยทำให้ตัวน้องน่าจะเครียดและกดดันตัวเอง บวกกับเพลงนี้มันก็ยังมีความยากในการร้องด้วย ผมเลยคิดว่าน้องน่าจะเครียดที่สุดในบรรดาเพลงที่เคยปล่อยมาเลย

สุดท้ายแล้วมีอะไรที่อยากบอกกับแฟนๆ เราไหม ?

อิ้งค์ : อยากฝากเพลง “ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม” เป็นเพลงที่เราผ่านความยากลำบากกันมาก พี่ๆ ทีมงานทุกคนในค่าย Muzik Move และค่าย Boxx Music ก็ทำงานกันหนักมากเช่นกัน เพราะทุกคนอยากให้เพลงนี้มันออกมาดีที่สุดจริงๆ แล้วอิ้งค์ก็รอที่จะเจอทุกๆ คนอยู่ วันไหนที่เราจะได้เจอกัน อิ้งค์ก็อยากให้ทุกๆ คนร้องเพลงนี้ไปด้วยกันกับอิ้งค์ ฉะนั้น ช่วงนี้ก็ฝึกร้องเพลงรอกันไปก่อน
พี่แทน : ฝากเพลง “ลบไม่ได้ช่วยให้ลืม” แล้วภายในปีนี้เราก็จะได้ฟังเพลงใหม่ของอิ้งค์อีก เราก็ไปเขียนกันมาแล้ว จะเป็นอีกสไตล์เลย แล้วก็อยากฝากวงเล็กๆ วงน้องใหม่นิดนึง อย่างวงลิปตาด้วย (หัวเราะ)

แม้การลบ จะไม่ใช่คำตอบของการลืม แต่การที่ยังลืมไม่ได้ ไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพราะ สิ่งสำคัญในชีวิต ไม่ใช่การจมอยู่กับความสัมพันธ์ที่กลายเป็นอดีต แต่คือ การอยู่กับปัจจุบันให้ได้ เพียงแค่รอให้เวลาได้ทำหน้าที่ของมัน แล้วเมื่อถึงวันนั้น หัวใจจะถูกเยียวยาจนหายดี
***


Thank You : ))
Photographer : Prachchaya Lopattananon

Scroll to Top