ขอพร / ความรัก / พรหมลิขิต ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง กันต์ จ๋าและย้ง

จากความฝันของ ‘กันต์ ชุณหวัตร’ เด็กหนุ่มที่มุ่งมั่นเดินตามฝันเพื่องานเพลงของตัวเอง กลายเป็นเพลง ‘ขอพร’ ที่สร้างขึ้นจากเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่งในรายการหาคู่ที่มากระทบใจ ผสมกับความตั้งใจที่จะให้ผู้กำกับที่ทำให้เขาแจ้งเกิดในฐานะนักแสดงมาเป็นผู้สร้างสรรค์ MV ตัวแรกในชีวิต รวมกับ ‘พรหมลิขิต’ ที่ทำให้ ‘ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์’ ได้มาเจอกับนางเอกมากฝีมืออย่าง ‘จ๋า-ณัฐฐาวีรนุช ทองมี’ ในเวลาที่เหมาะสม นำไปสู่ผลงานที่ทำให้เธอต้องร้องไห้มากที่สุดในชีวิตการเป็นนักแสดง

และด้วยองค์ประกอบที่ลงตัวทั้งหมดได้ก่อให้เกิด MV เพลงใหม่ที่อาจทำให้มุมมองต่อ ‘ความรัก’ และ ‘การขอพร’ ของทุกคนเปลี่ยนแปลงไป

รู้สึกอย่างไรบ้างตอนที่กันต์มาขอให้ช่วยกำกับ MV ตัวแรกในชีวิตของเขาให้

ย้ง : ผมตอบรับทันทีเลยนะ ขอแค่เคลียร์ตารางเวลาให้ตรงกันได้ผมก็พร้อมที่จะทำ ผมเห็นความตั้งใจของกันต์มาตลอดและยิ่งได้ฟังคอนเซ็ปต์เพลงของเขาก็รู้สึกว่า มันเปลี่ยนมุมมองเดิมจากที่ทุกคนคิดว่าเราขอพรให้เกิดสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในชีวิต แต่คราวนี้กลับเป็นเรื่องของคนที่ขอพรเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องตื่นขึ้นมา เป็นประเด็นที่น่าสนใจและในขณะที่เพลงทั่วไปจะทำเสนอปัญหาพร้อมกับทางออกเอาไว้ แต่เพลงของกันต์เลือกที่จะบอกว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะโชคดีหาทางออกนั้นเจอ

วิธีคิดเวลาทำ MV กับหนังหรือซีรีส์แตกต่างกันมากขนาดไหน

ย้ง : อย่างแรกผมคิดว่าผมทำ MV ไม่เก่ง เป็นงานที่ยากสำหรับผม เวลาทำหนังหรือซีรีส์คือการพูดในสิ่งที่เราอยากเล่า มันคือตัวเราแทบทั้งหมด แต่เวลาทำ MV เราต้องให้ภาพมาเป็นตัวซัพพอร์ตเพลง สิ่งที่สำคัญคือเมื่อดู MV แล้วเพลงนั้นต้องรู้สึกเพราะขึ้น เหมือนมาช่วยขยายแอดติจูดของคนแต่งเพลง ของศิลปินคนนั้นด้วยการแปลเนื้อเพลงเป็นภาพ เป็นอารมณ์ เป็นความรู้สึก

กันต์ : ภาพในหัวของผมคืออยากบอกให้คนดูรู้ว่ามันมีคนที่มีความรู้สึกแบบนั้นอยู่ ผู้หญิงที่ผิดหวังกับความรักมากๆ เขาอยากจะมีความรักครั้งใหม่ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถก้าวผ่านความรักครั้งเก่าไปได้ เหมือนคนที่ติดอยู่ในเขาวงกต หรือวังวนอะไรบางอย่างที่ไม่มีทางหลุดพ้นได้เลย อยากให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนดำเนินเรื่องหลัก ไม่ต้องมีคนอื่น ให้คนดูโฟกัสแค่ความรู้สึกของผู้หญิงคนนั้นแล้วสามารถเข้าใจเรื่องได้เลย

ย้ง : ผมก็เอามาคิดต่อว่าวิชวลแบบไหนที่จะมาซัพพอร์ตกับคอนเท้นต์ที่กันต์อยากนำเสนอได้ ก็คิดถึงการแต่งงาน เพราะงานแต่งงานมีวิชวลหลายอย่างที่เราเอามาเล่นได้ มีทั้งชุดแต่งงาน การโยนดอกไม้ ทะเบียนสมรส สถานที่ บรรยากาศ งานเลี้ยง ฯลฯ กับอีกส่วนที่สำคัญมากก็คือนางเอกที่จะต้องแบกเรื่องทั้งหมดคนเดียว ต้องเป็นคนที่สตรองประมาณหนึ่ง เพราะฉะนั้นต้องไม่ใช่วัยรุ่นเพราะประสบการณ์ชีวิตเขายังไม่มีน้ำหนักพอ ในขณะเดียวกันก็ต้องไปโตจนเกินไป เพราะเขาอาจจะตกผลึกอะไรได้จนไม่รู้สึกเสียใจกับความรักมากขนาดนี้

คุยกันอยู่นานไหมกว่าจะสรุปออกมาว่านางเอก MV นี้ต้องเป็นจ๋า

กันต์ : ช่วงแรกเราพยายามคิดอยู่นานเหมือนกันนะครับ ผมกับทีมก็พยายามเปิดดูอินสตาแกรมกันอยู่นาน มีนักแสดงหลายคนที่ถูกพูดถึงแต่ก็ไม่ได้คนที่ลงตัวจริงๆ สักที อยู่ดีๆ พี่ย้งก็พูดชื่อพี่จ๋าขึ้นมา เท่านั้นแหละครับ ไม่มีใครปฏิเสธ สรุปได้ทันทีว่าต้องเป็นคนนี้

ย้ง : เรียกว่าพรหมลิขิตเลยก็ได้นะ ผมไม่ได้เจอจ๋ามานานมาก แล้วบังเอิญจ๋ามาคุยเรื่องซีรีส์ Project-S ที่ผมเป็นโปรดิวเซอร์ ได้คุยกันประมาณ 10 นาทีจ๋าก็ไปทำงานต่อ แต่ 10 นาทีนั้นผมรู้สึกว่าผมได้เห็นจ๋าคนที่เคยเจอกันตามงานปาร์ตี้ ตามสถานบันเทิง ที่วันนี้เขามีความคิดหลายอย่างที่โตและน่าสนใจมากขึ้น ผมยังเดินมาบอกทีมงานอยู่เลยว่าจ๋าแม่งเวิร์กนะ แล้วอีก 2 วันกันต์ก็มาคุยกับผมเรื่อง MV พอดี ช่วงนั้นผมก็เจอนักแสดงหลายคน แต่ก็ไม่ได้นึกถึงเหมือนจ๋านะ สุดท้ายจ๋าก็ไม่ได้รับเล่น Project-S เลยบอกว่ามันเหมือนพรหมลิขิต จริงๆ แล้วที่จ๋าไปวันนั้นอาจจะไปเพื่อมาเล่น MV ตัวนี้ก็ได้

จ๋าเองก็ไม่ได้เล่น MV มานานแล้ว ทำไมถึงตกลงรับเล่น MV ตัวนี้

จ๋า : เกณฑ์การรับ MV ของจ๋าอย่างแรกคือจ๋าต้องชอบเพลงก่อน ซึ่งเพลงนี้ก็เพราะจริงๆ มันพูดถึงการขอพรแบบที่เราไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนที่พี่ย้งบอกไว้ แล้วจ๋าก็เคยเห็นกันต์ตอนเล่นฮอร์โมน เห็นว่าเล่นเป็นนักดนตรีที่มีความมุ่งมั่น แล้วพอมาเห็นว่าเขากลายมาเป็นนักร้องจริงๆ ก็ยิ่งรู้สึกดีที่ตัวตนจริงๆ ของเขาเป็นเหมือนกับภาพที่เราเห็น ยิ่งรู้ว่าพี่ย้งเป็นผู้กำกับก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เราอยากร่วมงานกับพี่ย้งอยู่แล้ว พอองค์ประกอบโดยรวมทุกอย่างได้หมด ก็เลยตัดสินใจง่ายมากที่จะรับเล่น MV ตัวนี้


พอเห็นการแสดงของจ๋าจริงๆ แล้วตอบโจทย์ทุกอย่างที่คิดกันเอาไว้ได้หมดเลยไหม

กันต์ : ดีเลยครับ ได้เห็นพี่จ๋าร้องไห้เรื่อยๆ ร้องไม่หยุด เดินกลับมาทีไร อ้าว พี่จ๋าร้องไห้อีกแล้ว (หัวเราะ) รู้สึกว่ามันเป็นภาพที่เราต้องการจริงๆ ถ่ายไปแปบเดียวก็สบายใจแล้ว จริงๆ แค่ซีนเปิดในห้องนอนที่พี่จ๋าหันมาแล้วน้ำตาไหลเลยแค่นั้นก็จบแล้ว

จ๋า : ก็เล่นให้หันมาน้ำตาไหลอยู่ 7-8 รอบ ตั้งแต่ 7 โมงเช้า (หัวเราะ) เลย ซึ่งจริงๆ เขาไม่ได้รีเควสว่าต้องร้องด้วยนะ แต่เราอยากเต็มร้อย กลัว MV น้องไม่ดี ก็ร้องให้เลย กลายเป็นพอร้องครั้งแรกได้ปุ๊บ พี่ย้งชอบแล้วก็ต้องมีครั้งต่อๆ มา กลายเป็นซวยแล้ว ครั้งแรกเซ็ตมาตรฐานไว้สูงเลย แล้วครั้งต่อไปจะทำได้อีกไหม (หัวเราะ) สุดท้ายก็เจอไป 7 เทค ร้องกันตั้งแต่ 7 โมง แล้วก็ร้องกันไปทั้งวันจนเที่ยงคืน (หัวเราะ) เป็นงานแสดงที่ทำให้จ๋าร้องไห้มากที่สุดตั้งแต่ทำงานมาเลย

ย้ง : ก่อนทำ MV นี้ผมยุ่งมาก เวลาเตรียมการน้อยเลยได้แค่บรีฟจ๋าคร่าวๆ แล้วก็ไปเจอกันวันถ่ายเลย ไม่ได้มีเวลาเรียนรู้และค่อยๆ ปรับเหมือนหนังหรือซีรีส์ แล้วตัวละครนี้ซับซ้อนก็กลัวว่าจะจูนกันติดได้เร็วแค่ไหน แต่พอช็อตแรกน้ำตาไหล เริ่มจากยากสุดแล้วจ๋าทำได้แค่นี้ผมสบายใจแล้ว ผมชอบทุกฉากที่จ๋าร้องไห้เลยนะ

ต้องบอกว่าที่ผ่านมาผมทำงานกับนักแสดงเด็กๆ ประสบการณ์น้อยเวลาอยู่ในกองจะมีจังหวะที่ต้องเข็นแล้วเข็นอีกเพื่อให้ได้การแสดงที่ผมต้องการ แต่พอทำงานกับนักแสดงที่มีประสบการณ์ เราไม่ต้องกังวลพาร์ตแสดงแล้ว เพราะเขาไปถึงจุดนั้นให้เราได้เลย เราก็ค่อยคิดว่าจะพาเขาไปได้ไกลจากจุดนั้นได้ขนาดนั้น เอาเวลาไปโฟกัสเรื่องจังหวะของภาพได้มากขึ้น

มีฉากไหนที่น่าประทับใจ อยากพูดถึงหรืออยากให้คนดูจับตาดูเป็นพิเศษหรือเปล่า

กันต์ : ฉากในห้องประชุมที่พี่จ๋าหายไปกับชุดแต่งงานแล้ววิ่งร้องไห้อย่างเดียว (หัวเราะ)

จ๋า : อยากให้เห็นภาพวันนั้น อย่างแรกคือชุดแต่งงานหนักและร้อนมาก เข้าห้องน้ำก็ลำบาก เดือดร้อนไปหมด เดินไปไหนทุกคนก็จะจับตาดูเพราะชุดแพงมาก ไม่อยากใส่ชุดแต่งงานแล้วตอนนี้ (หัวเราะ)

เป็นฉากที่จ๋าต้องวิ่งไปวิ่งมาในห้องเหมือนหาทางออกไม่ได้ เป็นถ่ายแฮนด์เฮล Long Shot พอจ๋าวิ่งไปทีมงานก็ต้องวิ่งหลบไม่ให้เข้ากล้อง เห็นแล้วจะขำทำให้ทำสมาธิได้ไม่เต็มที่ พอเทคสองพี่ย้งก็เลยให้ทุกคนออกไปเหลือแค่จ๋ากับตากล้อง 2 คน แล้วจ๋าก็เริ่มวิ่งไปตามบท ร้องไห้ เดี๋ยวนั่ง เดี๋ยวเดิน ทำไปเรื่อยๆ จนผ่าน 5 นาที ทำไมเขาไม่สั่งคัท หรือว่าเรายังทำไม่ดี ก็เริ่มใหม่ 10 นาทีก็ยังไม่คัท จนสุดท้ายผ่านไปประมาณ 15 นาทีค่อยออกมาได้ ยังบอกทีมงานอยู่เลยว่าน่าจะเอาไปตัดเป็น TVC แล้วยิงวนในรถไฟฟ้าได้เลยนะ แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว ตรงคอนเซ็ปต์มากเพราะหาทางออกไม่ได้จริงๆ

ย้ง : ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในเหมือนกัน (หัวเราะ) เพราะมันต่อมอนิเตอร์ออกมาดูไม่ได้ มีบางช่วงพยายามไปแง้มๆ ดู ก็เห็นจ๋านั่งร้องไห้อยู่ ก็คิดว่าจ๋าคงยังอยากเล่นต่อ จะสั่งคัทก็กลัวไปขัดจังหวะ เพิ่งรู้เหมือนกันว่าจ๋าเล่นต่อเพราะไม่กล้าหยุด คิดแทนกันไปมานี่แหละ (หัวเราะ) แต่สุดท้ายก็ได้ออกมาอย่างที่ต้องการจริงๆ

พอเห็น MV เสร็จสมบูรณ์ครั้งแรกรู้สึกอย่างไรกันบ้าง

กันต์ : ความรู้สึกแรกคือ เชี่ย เอาแล้ว ผ่านเลย ไม่ต้องแก้อะไรแล้ว พี่ย้งผมโอเคมากพี่

จ๋า : เลิศค่ะ เอาจริงๆ จ๋าคิดว่ามันดีตั้งแต่เห็นภาพผ่านกล้องในวันที่ถ่ายแล้ว ทำงานมานานขนาดนี้เราจะรู้ว่าถ้าเห็นแบบนี้แล้วมันจะดี แล้วพอผ่านกระบวนทุกอย่างออกมาทุกอย่างมันก็ดีอย่างที่คิดจริงๆ

ความหมายที่ซ่อนอยู่

ดอกไม้ไฟที่ค่อยๆ ดับลง “ความรัก ความสัมพันธ์เหมือนดอกไม้ไฟที่ชั่ววูบหนึ่งมันสวยงามมาก แต่สักพักทุกอย่างมันก็จะดับวูบแล้วจบลงไป เหมือนนางเอกที่เคยมีคนรักอยู่ข้างๆ และเมื่อดอกไม้ไฟดับลงพอเธอหันกลับมาข้างๆ คนที่เคยอยู่ข้างเธอก็ไม่ได้อยู่ตรงนั้นอีกต่อไป”

ทะเบียนสมรสที่ถูกไฟไหม้ “ถ้าเล่าในความเป็นจริงมันคือใบหย่า วันที่ 2 คนตกลงใช้ชีวิตร่วมกันแล้ววันหนึ่งทั้งคู่ไม่สามารถมอบความรักให้กันได้ สำหรับผมความรักครั้งนั้นเหมือนถูกไฟเผา ซึ่งนางเอกไม่ได้เป็นคนเผานะครับ มันคือความรู้สึกในใจของนางเอกที่ความรักครั้งนั้นมันมอดไหม้ไปด้วยอะไรบางอย่าง แต่ไม่ใช่ตัวเธอเอง เป็นภาพในความคิดที่ถ้าวันรุ่งขึ้นเขามามองตรงนั้นมันจะไม่มีซากของทะเบียนสมรสไหม้ไฟอยู่เลย

กุหลาบที่ถูกแช่แข็ง “เปรียบเทียบความรักเป็นดอกกุหลาบ วันที่มีความรักก็เหมือนวันที่กุหลาบยังสดถูกปักไว้ในแจกัน วันหนึ่งมันไม่ได้สดเหมือนเดิม มันกำลังจะตาย ปกติพอดอกกุหลายเหี่ยวคนก็จะทิ้งไป แต่ในความของผู้หญิงเธอยังไม่เคยลืมความรักครั้งเก่า เธอเลยเลือกที่จะแช่แข็งดอกกุหลาบเอาไว้ เพราะเธอไม่สามารถหลุดพ้นจากความรักในครั้งนั้นได้ และก็เหมือนทะเบียนสมรสที่ไม่ได้มีอยู่จริง ดอกกุหลาบนี้ไม่ได้ถูกแช่อยู่ในตู้เย็น แต่ถูกแช่ไว้ในความรู้สึกของผู้หญิงคนเดียว”

***

Scroll to Top