“กันต์ ชุณหวัตร” ดีเจ พิธีกร นักแสดง ที่หลายคนมักติดภาพของ พี่ต้า แห่งวง See Scape จากซีรีส์ Hormones วัยว้าวุ่น แต่ในชีวิตจริงตอนนี้ เขารับบทบาทใหม่เป็นศิลปินที่มีซิงเกิลเป็นของตัวเองแล้ว
“ปอย PORTRAIT” ศิลปินที่แค่ได้ยินชื่อก็เศร้าแล้ว ที่ผ่านมาปอยนำความดาร์กมาถ่ายทอดผ่านบทเพลงที่แต่งเอง ร้องเอง แต่วันนี้เขาขยับบทบาทมาแต่งเพลงให้ผู้อื่นร้องครั้งแรกอย่างเป็นทางการ
เรื่องเล่าสะเทือนใจ,
เกมแต่งเพลง 1 ชั่วโมง,
ร่างทรง และบทบาทใหม่ของพวกเขาทั้งคู่จะมาบรรจบกันตรงไหน มาดูกัน
ทั้ง 2 คนมาร่วมงานกันได้อย่างไร ?
กันต์ : เริ่มแรกเลยหลังจากที่ตกลงทำเพลงกับพี่พล วง Clash เป็นที่เรียบร้อย เราก็เริ่มมีการเข้ามาพูดคุยกับทีม Boxx คนอื่นๆ ซึ่งทีมทำเพลงของ Boxx ก็จะมีพี่พล พี่ยักษ์ จาก Clash และก็มีพี่ปอย Portrait ก็เลยเป็นที่ที่เราได้คุยกัน พี่ๆ ก็ให้เราแชร์ว่าถ้าเราอยากทำเพลงสักเพลงนึง เราอยากพูดถึงเรื่องอะไรบ้าง
พี่ปอย : เพราะแต่ละคนต้องหา way ก่อนไง เพราะแต่ละคนจะมีสิ่งที่อยากพูดไม่เหมือนกัน วิธีการพูดก็ไม่เหมือนกัน เราก็ต้องทำความรู้จัก และจับให้ได้ว่าเขาเป็นคนพูดเรื่องหนึ่งๆ แบบไหน พูดตรง พูดอ้อม พูดขวานผ่าซาก พูดประชด ต้องหาลักษณะนิสัยของการพูดก่อน ว่าเป็นคนยังไง ก็เริ่มคุยกันว่าชอบฟังเพลงแนวไหน ทำไมถึงชอบเพลงนั้น ไม่ชอบเพลงนี้ และจากที่ทุกคนที่คุยกับกันต์มาก็บอกว่า กันต์มาสายดิ่งๆ ก็แปลว่ามันต้องดาร์กๆ หน่อยแล้วทุกคนก็เริ่มหันมามองกู (หัวเราะ) เราก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่าสงสัยเราต้องเขียน แต่เรื่องเล่าทั้งหมดมาจากกันต์
ตอนนั้นกันต์แชร์เรื่องอะไรให้ทีมบ้าง ?
กันต์ : เล่าเยอะครับ แต่สุดท้ายแล้วพี่ๆ และผมเองก็ตัดสินใจร่วมกันว่าน่าจะเป็นเรื่องที่มาจากเพลง ‘ขอพร’ นี่ล่ะที่น่าจะเวิร์คสุด
เล่าที่มาของเพลง ‘ขอพร’ ให้ฟังหน่อย ?
กันต์ : ผมดูทีวีรายการนึง เราก็ไม่โฟกัสอะไรมาก แค่อาบน้ำเสร็จแล้วก็เปิดทีวีดู เป็นช่วงสัมภาษณ์เปิดใจผู้หญิงคนนึง อยู่ดีดีเขาก็เล่าเรื่องตอนหย่ากับสามี เขาเล่าว่าอยู่ไม่ได้เลย อยากขายของ ขายบ้าน ขายรถเพื่อไปอยู่เมืองนอก เพราะเขาไม่อยากเห็นอะไรเดิมๆ เพราะเขาอยู่ในลูปเดิมๆ ตลอดเวลา มีคำนึงเขาพูดขึ้นมาว่า ‘ทุกวันในช่วงนั้นฉันต้องออกไปโบสถ์ ต้องออกไปขอพรทุกวัน คนรอบข้างไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ฉันขอคืออะไร ฉันขอแค่พรุ่งนี้ฉันไม่ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีกแล้วได้ไหม’ แล้วกล้องก็จับภาพเหมือนในรายการทีวีปกติ แต่เรารู้สึกว่ามันจริงมากเลย ขนาดมันเป็นเสียงพากย์ไทย เรายังรู้สึกว่าเขาส่งมาแรงมาก แล้วเขาก็ยิ้มนะ แล้วน้ำตาเขาก็ค่อยๆ ไหลออกมา แล้วเขาก็ถามคนสัมภาษณ์ว่าไม่เคยหย่าใช่ไหมล่ะ
คือมันเป็นเรื่องที่ติดอยู่ในหัวเราตลอด และคิดว่าน่าจะได้รับการบอกต่อในมุมของเรา เพราะเราไม่คิดว่าจะมีคนออกไปขอพรเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องอยู่แล้ว เพราะเวลานึกถึงภาพคนขอพรเราก็จะนึกถึงเรื่องที่ดี มีความสุข เราเลยรู้สึกว่ามันใหม่สำหรับเรา และมันรุนแรงมากเลย
พอได้เรื่องเล่าที่มาจากกันต์แล้ว วิธีการทำงานร่วมกันต่อจากนั้นเป็นอย่างไร ?
พี่ปอย : มันจะค่อนข้างประหลาดหน่อยนะ คือตอนนี้ทีม BOXX กำลังฝึกฝนตัวเองกันอยู่เรื่อยๆ และเครื่องมือการฝึกอย่างหนึ่งก็คือ ‘การเล่นเกมแต่งเพลง’ ซึ่งเพลงของกันต์เป็นเพลงแรกๆ เลยที่เราเริ่มเล่นกัน
กติกาของเกมนี้ก็คือ ทำทุกอย่างให้เสร็จภายใน 1 ชั่วโมง! ในทีมจะมีอยู่ 3 คนมีเรา พล ยักษ์ ครึ่งชั่วโมงแรก เรากับพลแยกกันไปเขียนเมโลดี้ให้เสร็จ พอได้เมโลดี้แล้ว อีกครึ่งชั่วโมงยักษ์ต้องเอาเมโลดี้ของเราไปเขียนเนื้อ ส่วนเราเอาเมโลดี้ของพลมาเขียนเนื้อ เพราะฉะนั้น 1 ชั่วโมงผ่านไป เราจะได้เพลงมา 2 เพลง ซึ่งได้ต้นทางเรื่องเล่ามาจากกันต์
มันจะทันได้ไง ?
พี่ปอย : นี่คือจุดประสงค์ของเกมนี้ มันเกิดมาจากปัญหาของนักแต่งเพลงที่มักจะแต่งเพลงไม่ออก ซึ่งสาเหตุของการเขียนเพลงไม่ออกมันมาจากการกลัวว่าเพลงจะไม่ดีก็เลยไม่กล้าเขียน ก็เลยไม่เขียนสักที ก็เลยเขียนเพลงไม่ออก ฉะนั้นต้องคิดกลับกันก็คือ อย่าเขียนให้ดี แต่ต้องเขียนให้เสร็จ ทิ้งคุณภาพไปแล้วเอาปริมาณ เขียนยังไงก็ได้ เขียนเหี้ยๆ ออกมาก็ได้ แต่ต้องเขียนให้เสร็จ มันจะทะลุกำแพงออกมาได้ เพลง เธออีกคน ของพอร์ตเทรตเองก็ได้มาจากวิธีนี้ที่แต่งเสร็จภายในครึ่งชั่วโมง แล้วเนื้อเพลงก็เหมือนตอนนี้เลย ไม่แก้เลย
‘ทุกวันในช่วงนั้นฉันต้องออกไปโบสถ์
ต้องออกไปขอพรทุกวัน
คนรอบข้างไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ฉันขอคืออะไร
ฉันขอแค่พรุ่งนี้ฉันไม่ต้องลืมตาตื่นขึ้นมาอีกแล้วได้ไหม’
แสดงว่า เพลงขอพรออกมาได้แค่ 1 ชั่วโมงเองเหรอ ?
กันต์ : ใช่ครับ แล้วเป็นเพลงแรกที่ออกมาจากเกมนี้เลย
พี่ปอย : เพลงนี้มาหลายเวอร์ชั่นนะ วันแรกเราได้มา 2 เพลง เพลงที่ใช้จริงก็เป็นหนึ่งในนั้น อีกวันนึงเราก็เล่นเกมนี้กันอีก ก็ได้อีกหนึ่งเพลง ซึ่งทั้ง 3 เพลงนี้พูดเรื่องขอพรกันหมดเลย แต่ทั้งเนื้อร้องทั้งเมโลดี้มันคนละเพลงเลย แต่คีเวิร์ดเป็นเรื่องเดียวกัน ทีมก็ให้กันต์มาเลือก กันต์ก็บอกว่า ‘อย่าแต่งเพิ่มไปมากกว่านี้เลย ผมเลือกไม่ถูกแล้ว’
กันต์ : ใช่ฮะ คือมันพูดถึงเรื่องเดียวกันอยู่แต่มันมีหลายเวอร์ชั่น มันเลือกยากมากครับ ผมลังเลอยู่นานเลยนะ เลือกเป็นเดือนเลย เพราะตอนที่เราทำกันก็ไม่คิดว่ามันจะออกมาให้จับใช้เยอะ เพราะพี่ปอยบอกว่าให้เขียนๆ กันมาก่อน เราก็นึกว่ามันคงจะมีอันที่เละเทะ กับอันที่โอเคแหละมั้ง พอออกมาจริง อ้าว เวรละ มันโอเคหมดเลย ทุกวันนี้ผมยังเสียดายอีกเพลงนึงอยู่เลย
เพลงที่ใช้จริงเป็นใครแต่งทำนอง ใครแต่งเนื้อร้อง ?
พี่ปอย : ทำนองของพล เนื้อร้องของเรา อีกเพลงนึงจะเป็นทำนองของเรา เนื้อร้องของยักษ์ ซึ่งมันใช้ไม่ได้เลย เพราะมันเหมือน clash มาก (หัวเราะ) อีกวันนึงจะเป็นทำนองของพล เนื้อของเรา ก็ป็นอีกเพลงที่กันต์ก็ชอบเหมือนกัน แล้วก็เลือกกันเป็นเดือน
ตอนพี่ปอยเขียนเพลงให้กันต์ มีไอเดียยังไง ?
พี่ปอย : การที่เราทำเพลงให้คนอื่นเราต้องทำตัวเป็นช่าง พี่ดี้ นิติพงษ์จะเปรียบเทียบแบบนี้เสมอว่าเราเป็นช่างตัดเสื้อให้คนอื่นใส่ เราไม่ได้ใส่เอง ฉะนั้นเราต้องรับรู้ว่าทุกอย่างว่าเราควรจะตัดออกมายังไงให้คนนี้ใส่ได้พอดี ใส่ได้สบาย ใส่ได้สวย ใส่แล้วไม่คับ ฉะนั้นเพลงจะต้องเข้าปากเขาทั้งหมด ดั่งว่าเขาเป็นคนแต่งเอง ดั่งกับว่าเพลงนี้เขาบรรจงเขียนเอง เราต้องมี ระบบของการร่างทรง เราต้องถอดวิญญาณของกันต์เข้ามา แล้วเดาให้ถูกให้ได้ว่าถ้ามันเจอเรื่องนี้มันจะพูดอะไร
ตอนนั้นพี่ปอยสนิทกับกันต์ระดับไหน ถึงแต่งเพลงแรกก็ออกมาได้พอดีเข้าปากกับกันต์แบบนี้ ?
พี่ปอย : ก็ไม่เยอะหรอก แต่ก็พอจะรู้ทางได้ว่าเวลาพูดมันจะเป็นแบบนี้ เวลาเล่นมุกตลกมันจะเป็นแบบนี้ เวลามันพูด เรื่องจริงจังจะเป็นแบบนี้ คือเราต้องใช้การสังเกตมากกว่าคนปกตินิดนึง แต่ว่ามันอาจจะไม่เป๊ะหรอก เรื่องนี้นักแต่งเพลง ทุกคนก็ต้องฝึกฝนกันต่อไป คนที่เซียนๆ เจอไม่ถึงชั่วโมงก็ถอดร่างได้แล้ว เอาเข้าจริงแล้วเพลงนี้เป็นเพลงแรกอย่างเป็น ทางการที่เราแต่งให้คนอื่นร้องเลยนะ
การแต่งเพลงให้คนอื่นเป็นเรื่องใหม่สำหรับพี่ปอยเหมือนกัน และยังต้องแต่งเนื้อร้องภายในครึ่งชั่วโมงอีก คิดว่าทำไมเราถึงทำออกมาได้ราบรื่นและโดนใจกันต์ ?
พี่ปอย : น่าจะมาจากที่เราเห็นภาพผู้หญิงคนนั้นชัดเจนมาก หลังจากฟังกันต์เล่า อ่านจากที่กันต์เขียน เราเห็นถึงเม็ดน้ำตาของเขาเลยว่าเขาร้องไห้แบบไหน ผู้หญิงคนนี้อยู่ตรงไหน กลางวัน กลางคืน เขาทำอะไรอยู่ หน้าตาเขาเป็นยังไง เขาใส่เสื้อผ้ายังไง พอภาพมันชัดมากมันจะเล่าเรื่องไม่ยาก เมื่อไหร่ที่ภาพเราชัด สิ่งที่เราเขียนมันจะจริง
กันต์ฟังเพลงนี้ที่มาจากเรื่องเล่าของเราครั้งแรกรู้สึกยังไง ?
กันต์ : ตกใจ แบบเฮ้ยได้ไงวะ เร็วจัง เพราะปกติเราก็เคยเขียนเพลงเล่น เราทำเป็นเดือนเรายังไม่ได้อะไรเลย ตอนที่พี่ปอย บอกชั่วโมงเดียว ผมยังไม่แน่ใจเลย ปกติวันนึงได้ครึ่งเพลงก็เก่งแล้ว เราเลยตกใจว่ามันได้ว่ะ มันเป็นรูปเป็นร่าง แล้วผม เป็นคนฟังเพลงจากเนื้อเพลงก่อน แล้วค่อยไปแก้อย่างอื่น เรารู้สึกว่าเนื้อมันสื่อความหมายที่เราต้องการ เราโอเคกับมัน เมโลดี้ทุกอย่างมันพาเราไป มันสวยงาม
มาถึงวันนี้ที่มีเพลงเป็นของตัวเองแล้ว คิดว่าส่วนผสมของความเป็นกันต์และความเป็นบ็อกซ์อยู่ที่ตรงไหน ?
กันต์ : ผมรู้สึกว่าการมาทำงานร่วมกับทีมบ็อกซ์ เราได้เป็นตัวเอง ได้มีอิสระในการออกไอเดียเต็มที่เลย เพราะเราคิดว่าเมื่อเลือกมาทำเพลงแล้วก็อยากจะทำในสิ่งที่เราชอบที่สุดให้ได้ ทั้งแนวเพลง ทั้งเรื่องที่อยากจะเล่า และสุดท้ายกับที่นี่ผมสามารถทำได้หมด แค่พี่ๆ ทีมงานอาจจะช่วยตบให้อยู่ในร่องในรอยที่มันไม่หลุดกรอบออกไป เหมือน Boxx เป็นกรอบให้ผมไม่เตลิดออกไปจากจุดที่มันควรจะเป็น แต่มันก็ต้องไม่ใช่กรอบที่เขามายัดให้เราเป็น ต้องเป็นกรอบที่เราเป็นคนสร้างขึ้นแล้วเขาก็มาตีกรอบล้อมเราอีกทีนึง เพราะผมว่าทำเพลงมันมีโอกาศเตลิด หลุดออกไปได้ง่ายมากเหมือนกันด้วยความที่เราใหม่ เราไม่ได้เจนจัดงานเหมือนพี่ๆ เขา ซึ่งผมว่ามันดีนะที่มีคนคอยเชคให้อีกทีนึงว่า ‘เอ้ย เยอะไปแล้วมึง ลดลงมาหน่อย เดี๋ยวมันจะเตลิดไปไกล’ ผมเชื่อว่านักดนตรีหรือศิลปินอินดี้ทุกคนทำเพลงมาก็อยากให้คนฟังแหละครับ แค่ว่าจะทำไงให้เป็นตัวของตัวเองให้ได้มากที่สุดแล้วก็ยังมีคนฟังอยู่
กันต์ฝากเรื่องเอ็มวีทิ้งท้ายไว้หน่อย
กันต์ : เอ็มวีเพลงนี้ได้พี่ย้งมากำกับให้ ทำให้การทำงานร่วมกันค่อนข้างง่ายเพราะเรารู้ใจรู้วิธีทำงานของแกอยู่แล้ว เริ่มต้นมาจากเล่าเรื่องให้เขาฟังแบบนี้แหละว่าเราพูดถึงเรื่องอะไร พี่ย้งเห็นภาพอะไรในหัว เราเห็นอะไร ตรงกันไหม ซึ่งด้วยความที่เราเริ่มเขียนเพลงนี้มาจากผู้หญิงคนเดียว คีย์ของผมก็เลย อยากให้เป็นเรื่องเล่าที่มีผู้หญิงคนเดียว หรือมีคนอื่นในเรื่องให้น้อยที่สุด
ยังไงก็ฝากติดตามกันด้วยนะครับ ว่าเรื่องเล่านี้เมื่อได้พี่ย้งเป็นคนกำกับภาพ และได้วีเจจ๋ามาแสดงจะออกมาเป็นอย่างไร
***