จากการทำงานร่วมกันมา ‘กันต์ ชุณหวัตร’ คือเด็กหนุ่มผู้เปี่ยมด้วยแพสชั่นและความฝันต่อการทำเพลง ไม่ใช่แค่เพื่อความเก๋ (ถึงแม้ตัวจริงเขาจะเท่ไม่เบา) แม้กระบวนการทำเพลงของเขามักเริ่มต้นจากการฟุ้งฝันจินตนาการ แต่เขาจะนำมาใคร่ครวญก่อนจะหอบเอาไอเดียเหล่านั้นมาพรั่งพรูใหฟังอย่างตื่นเต้น
พบกันครั้งล่าสุด ไอเดียของเขาชัดเจนและมีเพียงหนึ่งเดียวคือ เขาอยากทำบทเพลงที่ว่าด้วยช่วงเวลาการเดินทางของความคิดที่ย้อนกลับไปในวันที่พบคนสำคัญในอดีตอีกครั้ง พร้อมย้ำอย่างหนักแน่นว่า เอ็มวีเพลง ‘ยินดีที่ได้พบ’ ต้องผ่านมือผู้กำกับเอ็มวีมือดีอย่าง เสือ-พิชย บุญประชา เท่านั้น
ชื่อของเสือมักจะเป็นรายชื่อของผู้กำกับอันดับต้นๆ ที่กันต์บอกเสมอว่าอยากร่วมงานด้วย
อะไรในตัวเขาที่คุณรู้สึกประทับใจ
กันต์: นอกจากความคุ้นเคยสนิทสนม มันคือความตั้งใจของผมที่อยากร่วมงานกับผู้กำกับที่เคยเจอมาในชีวิต เนื่องจากอาชีพหลักของผมคือการเป็นนักแสดง พิธีกร เวลาส่วนใหญ่เราให้กับงานเหล่านั้น เมื่อมีโอกาสเป็นศิลปินสักครั้ง พ้อยต์หลักในการทำของผมก็คือ ต้องเป็นเพลงที่ได้ดั่งใจมากๆ คือต้องทำให้ดีที่สุด ไม่ต้องรีบ ขอให้มั่นใจว่าดีแน่ๆ ถึงจะยอมปล่อยออกไป เมื่อต้องทำเอ็มวีประกอบเพลงที่เรารักมาก ก็อยากได้ผู้กำกับภาพที่สามารถให้ความเชื่อมั่นในตัวเขาได้ ก็เลยตั้งใจว่าอยากทำงานกับผู้กำกับที่เคยร่วมงานในพาร์ตอื่นๆ กันมาก่อน เหมือนการย้อนกลับไปพบกับผู้กำกับที่เคยเห็นตอนเราเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่ยังไม่ค่อยประสีประสา เมื่อบุคคลเหล่านี้ที่เคยสั่งสอนเราในวันก่อนได้กลับมาเห็นเราอีกครั้งจะเป็นอย่างไร นี่คือโจทย์สนุกๆ ที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะทำกับเอ็มวีทุกเพลงของตัวเอง
เสือ: นั่นก็คือที่มาที่ทำให้ผมได้ทำเอ็มวีตัวแรกที่มีเวลาในการทำแค่ 2 อาทิตย์กว่าๆ ใช่มั้ย
กันต์: ต้องบอกก่อนว่าเอ็มวีตัวนี้มีการเขยิบเข้ามาจากแพลนแรกที่วางไว้ ซึ่งไม่ใช่แค่เอ็มวีนะ แต่มันคือกระบวนการทำเพลงทั้งหมดเลย แล้วไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกันนะคือทุกครั้งที่ทำเพลง ตัวผมก็มีเหตุให้ต้องเดินทางไปต่างประเทศพอดี เพลงนี้กว่าจะได้มาเรียกได้ว่าลุ้นกันจนตัวโก่ง
เสือ: เอาจริงๆ คือถ้าเป็นคนอื่นเราคงไม่ทำ
กันต์: จำได้เลยวันนั้นที่ตัดสินใจโทรไปบอกพี่เสือ ทีมงานยังคุยกันเล่นๆ ว่า ไหว้พระทำบุญกันเยอะๆ หน่อยนะ
แต่ในที่สุดเสือก็ตัดสินใจรับทำเอ็มวีให้ กันต์ได้ไปเกลี้ยกล่อมอะไรกับคุณ
เสือ: ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจก็คือ เพราะความที่อยากร่วมงานกับกันต์ แล้วก็กับทางค่ายบ็อกซ์มิวสิคด้วย เราทำเอ็มวีมาแล้ว 30 กว่าตัว แต่ยังไม่เคยร่วมงานกับค่ายนี้สักครั้ง ก็อยากจะเอาตัวเองเข้าไปเรียนรู้กับระบบการทำงานในค่ายต่างๆ ให้มากที่สุด แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้ตัดสินใจคือ สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราหลังจากได้ฟังเพลงครั้งแรก มันอาจจะฟังดูแปลกๆ หน่อยแต่เวลาผมเลือกทำเอ็มวีสักเพลง อันดับแรกคือ เราต้องชอบเพลงๆ นั้นก่อน ถ้าไม่ชอบก็จะไม่รับเลย เพราะเราจะต้องอยู่กับมันทั้งวัน ตั้งแต่ฟัง คิด กำกับ จนกลับมาตัดต่อ แต่พอได้ฟังแล้วเราชอบเพลงนี้มาก หยุดฟังไม่ได้ จนเดินไปบอกกับทีมงานว่า คิวจะเป็นยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่ากูจะต้องทำเพลงนี้
แปลว่าการไปขอพรไหว้พระของกันต์และทีมงานส่งผลให้มีวันนี้
กันต์: ครับ พอได้ยินว่าเขาตอบรับเราโล่งใจ เพราะถ้าพี่เสือไม่รับปาก คงต้องทำกันเองแล้วแหละ
เสือ: ที่รู้สึกว่าไม่รับทำเอ็มวีเพลงนี้ไม่ได้แล้ว เพราะมันมีเหตุผลมากกว่าแค่เพลงเพราะ คือบางพาร์ตของเพลงใกล้เคียงกับชีวิตของเรามากๆ แล้วมันมีประโยคหนึ่งที่กันต์เล่าให้ฟังว่า เพลงนี้มันอารมณ์เหมือนคนที่ออกไปนั่งอยู่ริมระเบียงแล้วฟังเพลงนี้ มันมีภาพอดีตกับคนรักเก่าย้อนกลับมา ซึ่งสถานการณ์วันที่ได้รับบรีฟคือ ผมนั่งรับโทรศัพท์เขาอยู่ที่ริมระเบียงพอดีเลยนะ ก็เลยรู้สึกว่า ไหนๆ ก็ไหนๆ เอาเรื่องตัวเองออกมาเล่าเลยแล้วกัน ซึ่งว่าด้วยเรื่องของคนที่จะได้ทำเอ็มวีของกันต์ ซึ่งเขาก็ได้ไปเจอกับแฟนเก่าในวันนั้นที่มาเป็นแสดงในกองถ่ายเอ็มวีตัวนี้ มาจากประสบการณ์ส่วนตัวล้วนๆ ต้องย้อนกลับไปขอบคุณกันต์นะที่มาชวนเรา เพราะเพลงนี้มันนับเป็นเอ็มวีที่ทำให้เราตื่นเต้นก่อนวันออกกอง และในที่สุดมันกลายเป็นผลงานที่เหมือนกับที่เราคิดไว้เป๊ะๆ
สามารถบอกได้มั้ยว่า ฉากที่เกิดขึ้นในเอ็มวีถอดฉากในชีวิตจริงของคุณออกมาเลย
เสือ: ใช่ครับ พูดแล้วก็เหมือนขายตัวเองเลยเนอะ (ยิ้ม) แต่ฉากที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตจริงก็ประมาณนั้น เพียงแต่ว่าตอนจบไม่ได้สวยแบบฉากจบในเอ็มวีนะครับ
กันต์: ฝนตกมั้ย
เสือ: ตอนนั้นฝนไม่ตก แต่ถ่ายในป่าเหมือนกัน เดี๋ยวนะ นี่พาไปเรื่องไหนแล้วเนี่ย (หัวเราะ)
สำหรับกันต์ เพลงนี้เขียนขึ้นจากใครบางคนในชีวิตจริงของคุณหรือเปล่า
กันต์: มันเป็นเพลงที่เกิดขึ้นจากคำถามที่เราปะติดปะต่อเรื่องราวจากหลายๆ เหตุการณ์ที่เราเจอมาในชีวิตมากกว่า ไอเดียของเพลงนี้มันมาจากการที่เวลาทำเพลง เราจะเป็นคนฟุ้ง คือชอบจินตนาการถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้ขึ้นมา ซึ่งเพลงนี้มันเริ่มจากคำถามกับตัวเองว่า ถ้าเกิดอยู่ดีๆ คนๆ หนึ่งที่เคยอยู่ในชีวิตเรา วันหนึ่งเขาเกิดหายไปเลย เหมือนเมื่อคืนยังบอกฝันดีกันอยู่ แต่พอเช้ามา เขาหายไปแล้วนะ หายไปเลย แล้วไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน ดูเผินๆ คุณอาจจะรู้สึกว่า เฮ้ยมันจะมีคนแบบนั้นจริงๆ เหรอ แต่คุณต้องลองนึกย้อนไปในชีวิตที่ผ่านมาของคุณดู ผมว่าอย่างน้อยต้องมีสักคนหนึ่ง
การแต่งเพลงนี้มันทำให้ผมนึกถึงเพื่อนคนหนึ่งสมัยมัธยม คือเราสองคนสนิทมากเลยนะ แต่รู้ไหม วันนี้เขาหายไปไหนไม่รู้ ไม่ได้ติดต่อกันเลย แล้วก็ไม่รู้ข่าวคราวด้วยว่า เขาจบออกไปแล้วไปทำงานอะไรต่อ ผมว่าทุกๆ คนต้องเคยมีประสบการณ์แบบนั้น แต่ข้อแม้ของมันคือ อยู่ดีๆ วันหนึ่ง คนๆ นี้เขาก็ผ่านเข้ามาในความคิดของเรา อาจจะเป็นโมเมนต์ที่เรากินกาแฟอยู่ริมระเบียง สร้างช่วงเวลาที่หนักหน่วงมากๆ แต่พอกาแฟหมด เดินเข้าห้อง เขาจะหายไปจากความคิดของเราเลยนะ
ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในวันที่ถ่ายทำของแต่ละคนเป็นอย่างไร
เสือ: ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก ด้วยโลเคชั่นที่มันค่อนข้างไกลแล้วก็น่ากลัว เป็นโปโลเฮ้าส์ย่านบางนาตราด น้ำไฟก็ไม่มี เวลาจะเข้าห้องน้ำทั้งทีก็ต้องขับรถไปเข้าที่อื่น แต่สาเหตุที่เราเลือกเพราะมันตรงกับภาพที่เราตั้งใจว่า อยากให้มันเป็นสถานที่เหนือจริง มีความแฟนตาซี มีความหลุยส์ๆ ซึ่งพอทีมงานเห็นสถานที่จริงแล้ว ถึงกับบอกเราว่า ตอนฟังเพลงเขาไม่ได้เห็นโลเคชั่นนี้เลยนะ
กันต์: ใช่ครับ ตอนผมขับรถไปนี่คิดไว้เลยว่า อ๋อ อยู่บางนา แถวๆ เมกาบางนาแน่ๆ แต่เฮ้ย ทำไมเราขับเลยมาแล้วครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่ถึงสักที ขับๆ อยู่ก็อยากโทรไปถามพี่เสือว่า เอ็มวีนี้จะไม่มีผี ไม่มีเลือดใช่มั้ย
แต่พอไปเห็นสถานที่แล้วกันต์ก็เข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมถึงต้องขับรถมาไกลขนาดนี้ใช่มั้ย
กันต์: ก็ตั้งแต่ถ่ายทำจนกระทั่งขับรถกลับไปก็ยังเต็มไปด้วยคำถามในหัวอยู่ดีครับ (หัวเราะ) แต่ในการทำงานผมจะใช้หลักการว่า เมื่อเราเลือกเขามาแล้ว เราเชื่อในเขา ให้เขาทำเต็มที่เพราะเชื่อว่ามันคือวิธีการทำงานที่จะดีกับทั้งสองฝ่าย ซึ่งสุดท้ายพี่เสือก็เสกออกมาได้อย่างสวยงาม
เสือ: คือเราไม่เปิดโอกาสให้เขาถามด้วย พอมาถึงแล้วก็บรีฟทันที ให้รอดูเอาวันที่เอ็มวีเสร็จทีเดียว ซึ่งเอ็มวีนี้เราเนิร์ดมากๆ ถ่ายเสร็จแล้วอยากตัดมาดูเร็วๆ เพราะอย่างที่บอกว่าตื่นเต้นมากในการที่จะได้เห็นอะไรที่มันมาจากตัวเราแทบจะทั้งหมด แต่สิ่งที่ต้องแลกมาเมื่อเราทำอะไรที่มันเป็นตัวเองมากๆ ก็คือ ความรู้สึกตอนก่อนจะส่งให้ทางทีมดู เป็นความนอยด์ความกลัวว่ากันต์จะชอบมั้ย บ็อกซ์มิวสิคจะชอบมั้ย เราเพิ่งเริ่มงานจริงจังกันครั้งแรก ยังไม่แน่ใจว่าทิศทางที่เราว่าดี ทางค่ายจะรู้สึกว่าดีด้วยมั้ย
กันต์: พี่เสือส่งข้อความมาว่า เอ็มวีเสร็จแล้ว เราดูแล้วชอบเลย สิ่งที่พิเศษมากๆ คือ รู้สึกว่าพี่เสือตั้งใจและเต็มที่กับเอ็มวีตัวนี้ เวลาเห็นเพลงที่เรารักมากๆ ไปอยู่ในมือของคนที่รักเพลงของเรามากๆ เช่นกันมันรู้สึกดีแบบนี้นี่เอง
การทำเพลงหรือการทำเอ็มวีคงเหมือนกับการที่พวกคุณได้เดินทางกลับไปสำรวจความทรงจำในอดีต
มันได้พาพวกคุณไปค้นพบอะไรหรือช่วยตอบบางคำถามได้มั้ย
เสือ: สำหรับเราการได้พบกันในวันนั้นกลายเป็น coming of age ในชีวิตของเราก็ว่าได้ ก่อนหน้านี้เราเคยคิดว่าเราลืมเขา เราโกรธเขา หรือว่าเราห่างหายกันไปไกลมากแล้ว แต่พอวันหนึ่งที่ได้กลับมาทำงานด้วยกัน เราเลยรู้ว่าจริงๆ เรายังคิดถึงเขา แต่ในวันที่เราเติบโต ผ่านเรื่องราวต่างๆ มา เรากลับรู้สึกว่า เรายังมีความรู้สึกดีๆ ต่อกัน สามารถเป็นเพื่อนกันได้ มันทำให้เรามีมายด์เซ็ตต่อความรักว่า ทำไมปลายทางพอเลิกกันแล้วเราต้องกลายเป็นคนไม่รู้จักกันล่ะ เราไม่เสียดายความสนิทสนมที่ผ่านมาเหรอ
ก่อนหน้านี้ตอนเราเป็นวัยรุ่น เราอาจจะโกรธกัน บล็อกโทรศัพท์ บล็อกอินสตาแกรมกัน แต่พอย้อนกลับมาคิดดูอีกที นี่คือคนๆ หนึ่งที่สนิทกับเรามากที่สุดเลยนะ เรารู้ว่าคุณชอบกินอะไร คุณรู้ว่าเราชอบดูหนังแบบไหน แต่พอเลิกกันแล้วต้องกลายเป็นคนไม่รู้จักกัน มันน่าเสียดาย แต่กว่าจะกลับมาคิดได้มันก็คงต้องใช้เวลาแหละครับ
กันต์: สำหรับผมขอพูดในแง่ของเพลงของตัวเองซึ่งเพลงที่ผ่านมาก็ล้วนว่าด้วยความรักนั่นแหละ คือความรักมันมีหลายรูปแบบ เพลงแรกอาจจะเป็นแผลสด เพิ่งเจ็บมาเลย ก็เลยเล่ามาในรูปแบบนั้น แต่ในวันนี้เราอยากจะเล่าเรื่องราวที่มันสดใสมากขึ้นถึงมันจะไม่ได้ยิ้มกว้างแบบมีความสุขมากๆ ก็ตาม เทียบเป็นเฉดสีก็ได้ เพลงแรกอาจจะดาร์กจนเป็นสีเทาเกือบดำเลยนะ แต่เพลงนี้คือสีเทาเกือบจะขาวอยู่แล้ว
มันทำให้ย้อนนึกว่า เวลาคนเราเลือกที่จะคบกัน เราไม่ได้เลือกกันที่ข้อเสีย แต่ในวันที่เราทะเลาะกัน เลิกกัน เรากลับงัดเอาข้อเสียของแต่ละคนมาทิ่มแทงกัน ลืมสิ่งดีๆ ทั้งหมดที่เคยผ่านมา แต่ในความเป็นจริงคือ สิ่งดีๆ มันยังอยู่ เพียงแต่ข้อเสียมันชัด มันรุนแรงมากในตอนนั้น ผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า เวลาที่เราเกลียดใคร เขาคนนั้นไม่รู้หรอก แต่คนที่หนักที่ทุกข์ที่สุดคือเรา สุดท้ายความรักสำหรับผมคือ ช่างมันบ้าง แล้วเราจะรู้สึกสบายขึ้นเยอะ
ประโยคที่ชอบที่สุดจากเพลง ‘ยินดีที่ได้พบ’
“ยินดีที่ได้พบอีกครั้ง ในความทรงจำที่หวนมา”
กันต์: จำได้ว่าหลังจากที่เราลองโยนไอเดียกันไปมาก่อนที่เพลงนี้จะเสร็จ ทีมต่างแยกย้ายกันกลับไป จนกระทั่งพี่พลโทรมาแล้วบอกให้กันต์เช็คอีเมล เพราะพี่ยักษ์ปล่อยของออกมาแล้วนะ คือแค่ประโยคแรกที่ขึ้นต้นว่า “ยินดีที่ได้พบอีกครั้ง ในความทรงจำที่หวนมา” ผมซื้อตั้งแต่ฟังครั้งแรกเลย คือแค่คำเปิดหัวก็แรงก็จริงแล้ว หลังจากนี้จะไปปรับเปลี่ยนส่วนที่เหลืออย่างไรค่อยว่ากัน แต่ประโยคนี้ อย่างไรก็ต้องเอาไว้
“ห่างหายลับไกล แต่เมื่อเห็นร่องรอยในหัวใจ จึงได้รู้ ฉันคิดถึงเธอเหลือเกิน”
เสือ: วันๆ หนึ่งเราจำไม่ได้หรอกว่า เราเคยคิดถึงอะไรบ้าง เพราะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย แต่มันจะมีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้จู่ๆ คนที่เราเคยคิดถึงกลับเข้ามา ตอนคิดเอ็มวีเพลงนี้อยู่ผมขับรถอยู่ ตอนมองไปที่จอเพลงเพื่อดูว่าเพลงเล่นไปได้กี่นาทีแล้ว ซึ่งข้างล่างจอมันจะมีปุ่มปรับอากาศหมุนเวียนในรถ ภาพมือของคนๆ หนึ่งที่เอามือจิ้มไปที่ปุ่มนั้นแล้วบอกเราว่า “เธออย่าเปิดหมุนเอาอากาศเข้ามาสิ” วินาทีนั้นคือ เราลืมเขาไปนานมากแล้วนะ แต่ประโยคนี้ในเพลงมันได้พาเขากลับมาอีกครั้งหนึ่ง
***