นอกเหนือจากสถานะ ผู้กำกับและนักแสดงจากภาพยนตร์ถวิลหาอดีตอย่าง ‘Snap แค่…ได้คิดถึง’ แล้ว คงเดช จาตุรันต์รัศมี กับอิ้งค์-วรันธร เปานิล ยังสนิทสนมหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานและเคารพรักกันในฐานะพี่น้องอีกด้วย มาดูกันดีกว่าว่าถ้าจะให้ศิลปินสาวเจ้าของเพลง เหงา เหงา (Insomnia) ที่พี่เดชว่าเป็นเด็ก ‘โลกสวย’ มาตั้งคำถามถึงพี่เดช-พี่ชายผู้ถูกโลกโบยตีคนนี้จะเกิดอะไรขึ้น !
อิ้งค์ : ทำไมพี่ถึงเลือกหนูมาเล่น snap ?
พี่เดช : มันต้องเปิดกล้องแล้วมันไม่มีใคร ไม่ใช่หรอก ตอนนั้นเราก็มีอีกคนนึงที่เล็งไว้ ซึ่งเราก็ไม่เอาเพราะเราคุยกับเขาแล้วไม่ลิ้งค์อะไรสักอย่างนึงเลย แต่ถ้าวันแรกที่คุยกันเราคุยกันเรื่องระบบขับถ่ายกันได้ตั้งแต่วันแรก
อิ้งค์ : ดังนั้น ถ้าใครอยากเล่นหนังพี่เดช ต้องคุยเรื่องระบบขับถ่ายกันวันแรกนะคะ (หัวเราะ)
พี่เดช : พี่ก็รู้สึกว่ามันดีจังเลยที่มีน้องคนนึง ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนเลยนะ ดูคลิปตอนแคสติ้งก็ไม่เวิร์คด้วยนะ แต่มันมีบางอย่างที่เราสนใจอยู่แหละ ในไอจีก็ดูใช่ พอมานั่งคุยกันเราคุยกันได้เป็นชั่วโมง คุยกันได้ไปจนถึงเรื่องระบบขับถ่าย ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรจะคุยละ ปล่อยให้กลับไปดีว่า แต่เราก็รู้สึกว่า เออ อยากคุยต่อหว่ะ แต่คุยเรื่องอะไรดีวะ นั่นอาจเป็นสาเหตุที่เราบอกโปรดิวซ์เซอร์เราว่าไม่เอาอีกคนนึงแล้ว เอาไอ้เนี่ยแหละ เพราะเราอยากคุยต่อ หมายความว่าถ้าอิ้งค์เป็นนักแสดง เท่ากับว่าอิ้งค์ยังมีอะไรให้เราค้นอีกเยอะ พูดแรดๆ ก็ประเภทว่าเป็นหนังสือที่ยังมีหน้าให้เปิดอีกเยอะ นี่เป็นแค่ chapter แรก แล้วอิ้งค์อายุเท่านี้ด้วยเลยรู้สึกว่ามีอีกหนาเลย แล้วเราว่าปีนี้เป็นปีที่อิ้งค์พร้อมจะพิมพ์บทใหม่ๆ ให้คนได้เห็นอีก เพราะอิ้งค์มีทั้งหนังด้วย ทั้งเพลงด้วย แล้วตอนนี้เธอก็จะเรียนจบแล้วนะ เธอจะไม่ใช่นักศึกษาแล้วนะ เออ…รู้สึกยังไงวะ ?
อิ้งค์ : รู้สึกโหวงมากเลย แต่ที่จริงตอนนี้ก็ถือว่าอิ้งค์ทำงานแล้ว แต่ก็ไม่อยากจบอยู่ดีในความคิดอิงค์ ยังคิดถึงความเป็นเด็กอยู่ ถ้าจบไปแล้วก็ถือว่าเราเป็นผู้ใหญ่คนนึงไปแล้ว ทำอะไรก็คือของจริงแล้ว แต่ถ้าเราอยู่ในวัยเรียน เราทำอะไรผิดยังมีคนให้อภัยเราได้ เหมือนอยู่ในเซฟโซน แต่ก็ไม่ได้กลัวขนาดนั้นนะ แต่ก็โหวงๆ เหมือนกันที่เราเรียนมา 21-22 ปีตั้งแต่เกิดมา แล้วอยู่ๆ จะไม่ได้เรียนแล้ว
พี่เดช : เราเชื่อว่ามันมีอะไรให้เราเรียนอยู่ข้างนอก ซึ่งมันอาจจะมีวิธีที่ต่างกันแล้วเราไม่ได้คิดว่า การที่คนไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี
อิ้งค์ : อืม เข้าใจ กว่าพี่เดชจะยอมรับได้เรื่องการถูกว่าเนี่ย ตอนแรกๆ มันเฟลมากไหม แล้วทำยังไงให้ตัวเองรู้สึกโอเค?
พี่เดช : หูย มันไม่มีวันหรอก ทุกวันนี้คนไม่ชอบงานเราก็รู้สึกนั่นแหละ แต่โดนมาเยอะมันก็ทำให้รู้ว่าทำไงก็ไม่ถูกใจทุกคนหรอก สิ่งที่เราทำมันอาจจะเหมาะกับทีหนึ่งหรือคนจำนวนหนึ่ง คือเราสบายใจกับการทำแบบไหนมากกว่า แต่ถ้าในแง่ของการเรียนรู้ ด้วยวัยของอิ้งค์ ที่ต้องเริ่มทำงาน มันคงต้องโดนตำหนิบ้างตอนที่ทำอะไรพลาดไปหรือคิดอะไรผิดไป แต่ก็จำได้ว่าเราก็โดนมาตลอด ตั้งแต่เราทำเอ็มวีของอาร์เอส ตั้งแต่เราดื้อคิดว่าทำสิ่งนี้ดี แล้วพอออกไปมันไม่เวิร์ค มาจนถึงวันนี้ก็ตาม แต่เราทำงานทุกชิ้นอยู่บนพื้นฐานความใหม่ พยายามหาความตื่นเต้นในการทำอยู่ตลอด แม้กระทั่งทำเอ็มวีของอิ้งค์เองก็ด้วย
อิ้งค์ : อยากแนะนำอะไรอิ้งค์ไหมถ้าทำอะไรไปแล้วโดนว่า?
พี่เดช : ไม่รู้สิ อย่าร้องไห้
อิ้งค์ : ไม่ได้อ่ะ (หัวเราะ) แต่เดี๋ยวนี้อิ้งค์สตรองขึ้นนะพี่เดช
พี่เดช : ไม่รู้จะแนะนำอะไรว่ะ แต่เราก็เชื่อในเรื่องการถูกโลกทำร้าย มาสายดาร์กอีกแล้วกู ถ้าอยากจะบอกอะไรอิ้งค์ก็คือว่าอิ้งค์โตแล้วนะ มันดีมากเลยถ้าอิ้งค์โตแล้วยังใสอยู่ แต่มันต้องสตรองอ่ะแหละ ซึ่งอิ้งคก็มีแนวโน้มที่จะสตรองขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็ดีละ
อิ้งค์ : อยากรู้ว่าวันที่อยู่ญี่ปุ่นแล้วอิ้งค์ร้องไห้ ที่แฟนพี่เดชบอกว่ากลับบ้านไปวันแรกพี่เดชเครียกมากเลย เพราะอิ้งค์เล่นไม่ได้เลย นี่มันจริงหรือเปล่า?
พี่เดช : ก็ใช่นะ เพราะวันแรกเราถ่ายที่กรุงเทพไง แล้วมันก็ยังเป็นวันที่เรายังไม่ค่อยเห็นว่าอิ้งค์ทำได้หรือทำไมได้ แต่มันก็เป็นซีนที่ไม่ได้สำคัญมาก ก็เป็นห่วงแหละ เพราะเราไม่เคยใช้นักแสดงที่อายุจริงน้อยกว่าอายุตัวละคร แล้วเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นความผิดของอิ้งค์นะ เราแค่ไม่แน่ว่าอิ้งค์จะเข้าใจไหม เราเองก็ไม่ค่อยทำหนังที่ตัวละครนำเป็นผู้หญิง แต่ทุกครั้งที่ทำงานกับนักแสดงหญิง เราจะค่อนข้างหวังสูง เพราะเราเป็นผู้ชาย ไม่รู้จักผู้หญิง มันทำให้เรามีความไม่มั่นใจอยู่แหละ เราก็ไม่รู้หรอกว่าตัวละครผู้หญิงเขาจะรู้สึกยังไง ตอนนั้นคงอยู่ในช่วงประสาทแดกแหละ เลยบ่นกับเมียไปแบบนั้น (หัวเราะ) แต่สุดท้ายเราก็ตัดสินใจถูกไง
อิ้งค์ : พี่เดชจำภาพอิ้งค์เป็นแบบไหนเหรอ น่ารัก นิสัยดี เก่ง หรืออะไร?
พี่เดช : (หัวเราะ) เราก็นึกถึงเด็กที่มันเป็นเด็กดีอ่ะ คือวัยอิ้งค์นี่มันมีเด็กที่แซ่บมากที่เราเจอเยอะแยะเลยอ่ะ พอเราเห็นอิ้งค์เราก็รู้สึกว่าชีวิตมันน่าอิจฉาว่ะ ชีวิตมันคงดีอ่ะ บางครั้งก็รู้สึกเป็นห่วง ถ้าไปเจอกองที่มันชั่วร้ายหน่อย คือออกตัวเลยว่ากองเรานี่ดีมากนะ เราก็รู้ว่าโลกข้างนอกมันไม่ดีเท่าไหร่ แล้วน้องมันจะไหวรึเปล่าวะ แต่ก็เชื่อว่าจะดีขึ้น นี่พูดเหมือนกองกูดีที่สุดในโลก (หัวเราะ)
อิ้งค์ : แต่ก็จริงๆ อิงค์ไม่เคยอยากแสดงอะไรเลย แต่รู้สึกดีกับการแสดงก็เพราะกองนี้ เป็นไง ซึ้งไหมๆ
พี่เดช :เออดีๆ
อิ้งค์ : พี่เดชมีผู้กำกับในดวงใจป่ะ ถ้าเลือกได้อยากเล่นหนังใคร?
พี่เดช : ว้าย เราไม่เคยอยากเล่นหนัง ไม่ได้อยากจะไปเล่นหนังของใครทั้งสิ้น แล้วผู้กำกับในดวงใจก็มีเพียบ มีเยอะไป มีผู้กำกับที่เราตามงานเขาเยอะ หนังของแต่ละคนมันคือการสร้างโลกของคนคนนั้นเป็นโลกเฉพาะของตัวเอง เราโคตรชอบดูหนังของโจว ซิงฉือ มันก็จะมีโลกของตัวเอง เราดูหนังของพี่น้องโคเอนทุกเรื่อง (Ethan Coen และ Joel Coen) ดูหนังวูดดี อัลเลน (Woody Allen) ทุกเรื่อง
อิ้งค์ : ทุกวันนี้พี่เดชทำงานไปเพื่ออะไร ?
พี่เดช : ทำงานเพื่อมีชีวิตน่ะ มันก็จะมีงานหลายประเภท งานที่ทำเพื่อเงินแท้ๆ เลย เพราะลูกเมียเราไม่ได้อินดี้ด้วย ราคาข้าวมันก็ไม่ได้อินดี้ด้วย เราอ่านราคาสะโพกหมูยู่ทุกอาทิตย์ เพราะเราเป็นโฆษกอ่านสปอตด้วย เราก็รู้ราคาว่ามันขึ้นลงก่อนใคร มันก็เหนื่อยแหละ แต่เราก็ทำทั้งสิ่งที่หล่อเลี้ยงให้เรามีชีวิตอยู่กับทำสิ่งที่เลี้ยงครอบครัวให้อยู่รอด ต้องบาลานซ์ดีๆ พยายามทำให้ดีที่สุด
อิ้งค์ : พี่เดชอ่านสปอตมานานยัง?
พี่เดช : ทำมา 20 ปีได้แล้ว ตั้งแต่เริ่มสี่เต่าเธอ มีคนมาได้ยินเสียงแล้วก็เรียกให้ไปอ่าน แล้วค่อยมาเป็นร้องเพลงประกอบโฆษณา เป็นคนเขียนเพลงและร้องเพลง แต่เดี๋ยวนี้น้อยลงแล้ว แต่ที่อ่านทุกอาทิตยก็คือของเทสโก้โลตัสที่มันเป็นเสียงตะคอกจิกคอแล้วมาตะโกนใส่หูเนี่ย “เฮง เฮง เฮง รับตรุษจีน”
อิ้งค์ : เฮ้ย จริงเหรอพี่เดช (หัวเราะ) สุดยอด ต่อไปนี้ตอนไปโลตัสจะฟังเสียงพี่เดช แล้วลูกพี่เดชรู้ไหม
พี่เดช : เค้ารู้แต่เค้าไม่ได้รู้สึกอะไร เค้าจะไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น
อิ้งค์ : มีสปอตไหนที่แปลกที่สุดที่พี่เดชเคยรับมา?
พี่เดช : ไม่เอาสปอตดีกว่า เอาเพลงประกอบโฆษณาที่แปลกที่สุดดีกว่า คือมีอยู่ช่วงหนึ่งเราแต่งเพลงโฆษณาของน้ำผลไม้ยี่ห้อหนึ่งแล้วร้องด้วย แล้วมันก็จะเปิดอยู่ตามโลตัส บิ๊กซีอะไรทั้งหลาย แล้วมันมีอยู่เพลงนึง ลูกค้าจะให้ใส่คำว่ากระเพาะปัสาวะลงไปในเนื้อเพลง หูย นั่นเป็นจุดตกต่ำที่สุดเลย คือมันเลยเรื่องวิตมินเอ บี ซี สูงไปแล้วไง แต่ในที่สุดก็ทำ นี่เป็นสิ่งที่เธออาจจะต้องเจอนะ โลกโบยตีน่ะ
อิ้งค์ : แล้วพี่เดชไม่อยากออกอัลบั้มแล้วเหรอ?
พี่เดช : อยากทำนะ เราจำได้ว่าปีที่แล้วเราเขียนเพลงใหม่ไปให้เพื่อน 2 เพลงแล้วเพื่อนก็ตกใจ เพราะมันเกี่ยวกับความตาย กับเรื่องการปลงชีวิต แล้วเพื่อนก็ถามว่ามึงเป็นไรรึเปล่า เราก็รู้สึกว่ามันเป็นอีกสเต็ปนึง คือตอนนี้มึงจะมาเพลงอวกาศไม่ได้อีกแล้วด้วยวัยนี้ แต่ตอนนี้มันยากตรงที่ทุกคนมีสิ่งที่ต้องทำเยอะมากเลย แล้วสี่เต่าเธอก็เป็นวงที่ความสามารถต่ำ แต่ความต้องการสูง คือเล่นก็ไม่เก่งกันทั้งวงเลย วงเราไม่ได้เป็นนักดนตรี ไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นักดนตรีด้วย คือเล่นเพลงตัวเองยังเล่นผิดเลย ไม่มีวงไหนเป็นแบบนี้แล้ว พวกเรามันเป็นแค่คนที่เล่นดนตรีกันก๊องๆ แก๊งๆ แล้วมีไอเดีย และทำเพลงออกมาในยุคที่มันไม่มีเพลงที่เราอยากฟัง มันเป็นแบบนั้นมากกว่า แต่ในยุคนี้มันมีวงดีๆ เยอะแยะแล้ว ความรู้สึกกระเหี้ยนกระหือรือมันคงน้อยลง
อิ้งค์ : อะไรนะ กระเหี้ยนกระหืออือ?
พี่เดช : รู้จักป่ะ กระเหี้ยนกระหือรือ คำเนี้ย ไม่รู้จักเหรอ แบบอยากจะทำเสียเหลือเกินน่ะ มันไม่มีแล้ว ความรีบร้อนมันก็ไม่มี แต่ก็นัดซ้อมกันอยู่บ้าน นัดกินชาบูกันไรงี้
อิ้งค์ : แสดงว่าชอบเป็นผู้กำกับมากกว่า?
พี่เดช : เราอยากเปลี่ยนอาชีพอยู่นะ
อิ้งค์ : เออใช่ พี่เดชเคยบอกอยากเลิกทำหนังแล้ว
พี่เดช : นั่นแหละ ตอนนี้อาการนั้นมันเริ่มกลับมาอีกแล้ว แต่ตอนนี้ก็ต้องทำ เพราะงานมันก็เข้ามา เราก็ยังต้องกินต้องใช้ แค่ยังนึกไม่ออกว่าอะไรที่จะทำให้เราโอเค แต่แค่รู้สึกว่าความสำคัญของการทำหนังมันน้อยลง คือไม่ทำก็ไม่ตาย
อิ้งค์ : เอ็มวีเพลง เหงา เหงา (Insomnia) ที่มาทำให้อิ้งค์ได้แรงบันดาลใจมาจากไหน ?
พี่เดช : ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพแนวตั้งมั้ง อยากถ่ายเอ็มวีแนวตั้งซึ่งโดยสัดส่วของมันจะมีแกนดำตรงกลางในจอใหญ่ แล้วเพลงอิ้งค์มันก็มีอาการของคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ห่างกัน เรารู้สึกว่าอยากทำเอ็มวีที่เป็นแนวตั้งและมีแกนดำอยู่ตรงกลาง ที่มีระยะห่างกัน เราก็คิดไปเรื่อยๆ เริ่มมี Long take อะไรที่ง่ายๆ ก็ไม่ทำ ทำไมไม่รู้
อิ้งค์ : พี่เดชโตมาแล้วเหงาไหม?
พี่เดช : ทุกวันนี้ก็เหงานะ เราโชคดีมากที่เรามีครอบครัวแล้ว ถ้าไม่มีเราชิบหายแน่เลย
อิ้งค์ : ความเหงาของพี่เดชเป็นยังไง
พี่เดช : เพราะว่าเราไม่ค่อยรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของอะไร พอทำหนังจบไปเรื่องหนึ่งเราก็จะไปถึงความรู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งของใครเสมอ จนกว่าจะเปิดหนังใหม่
อิ้งค์ : ทำไมพี่เดช เศร้าจัง
พี่เดช : ไม่เศร้า ธรรมดา (หัวเราะ) เราว่าเราตั้งคำถามเยอะเกินไปแล้วหยุดตั้งไม่ได้ คือทางเดียวที่จะทำให้เราพบกับความสุขในชีวิตจริงๆ มันคือการที่ต้องอยู่คนเดียว การมีคนอีกคนหนึ่งมันทำให้ความวุ่นวายเกิดขึ้น แต่โอเคนะ เราแฮปปี้กับการมีครอบครัว มีลูกมาก ข้อดีคือมันทำให้เราคิดถึงตัวเองน้อยลง ซึ่งมันอาจจะเป็นปัญหาของคนยุคใหม่ๆ เหมือนกัน เพราะเรามีเครื่องมือที่ทำให้อยู่กับตัวเองเยอะขึ้น เราว่าคนก็เหงากันมากขึ้น